เต็มไปด้วย ‘อุปสรรค’ คู่แข่ง - คำปฏิเสธ - ความกลัว
เราต้องต่อสู้ตั้งแต่ 'ความขี้เกียจ' ของตัวเอง ยัน 'ความขยัน' ของคู่แข่ง
แต่ข้อดีก็คือ งานขายนั้นการันตีได้อย่างหนึ่งว่า ถ้าคุณขยัน และเก่ง
คุณจะได้ผลตอบแทนตาม ‘ผลงาน’ โดยไม่ต้องรอการขึ้นเงินเดือนจากคนอื่น ๆ
ยิ่งทำยิ่งได้ การรอคอยอยู่เฉย ๆ ไม่ใช่หนทางของนักขายมืออาชีพ
ไม่ว่าจะนำเสนอต่อหน้า หรือขายออนไลน์
Mindset แห่งการขายของคุณต้องอัปเกรด เป็น Version 2018
และในวันนี้ผมมี 3 เรื่อง ที่อยากจะฝากให้ปรับวิธีคิด ในฐานะที่ทำงานขายมาเกือบ 10 ปีครับ
1) ยอดขายขึ้นอยู่กับ ‘ความขยัน’ ไม่ใช่ ‘ความเมตตา’
ถ้าเรากำลังขาย ‘ออนไลน์’ อยู่ ความสบายคือ ดั่งคำว่าที่ว่า กรุงเทพฯ...ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว
ที่ลงทางธรรมดา หรือขึ้นทางด่วน ก็หายนะพอกัน เราตัดการเดินทางหาลูกค้าออกไปได้เลย
ซึ่งเป็นเรื่องดูดพลังชีวิตอย่างมาก จริง ๆ แล้วเรามีพลังเหลือเฟือที่จะตอบลูกค้า
สมัยที่ผมเป็นพนักงานขาย บางทีตื่นที่สระบุรี แต่ก็ไปสลบที่ชลบุรีอยู่ดี
คือขอแค่มีโอกาสขาย เราก็จะไป ขอให้ได้รู้ว่ายอดขายสมน้ำสมเนื้อ
เราก็จะเผาน้ำมันไปหาทันที แต่สำหรับการขายออนไลน์นั้น ไม่ต้องเดินทางเอาแฟ้มไปให้
ไม่ต้องไปวางบิล ไม่ต้องไปเก็บเช็ค แค่ตั้งใจตอบเหมือนตั้งใจขาย
แค่ตั้งใจติดตามเหมือนตั้งใจขาย แค่ตั้งใจส่งข้อมูลเหมือนตั้งใจขาย
ไม่จำเป็นต้องอ้อนวอนลูกค้าว่า ‘ช่วยหนูหน่อย’ เมื่อคนอยากขาย ได้เจอคนอยากซื้อ
จะยอด 500 บาท หรือ 300,000 บาท ก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ
ผมไม่เคยเห็นนักขายไปได้ไกล ด้วยการพึ่งพาคนอื่น เค้าไม่โยนออเดอร์ก็ช่างมัน
เค้าไม่ช่วยสอนแล้วไง
อยากสำเร็จจริง ๆ ให้ดันตัวเอง ไม่ใช่ไปเกาคางขอร้องคนอื่น…
2) ลูกค้าเค้าไม่ได้ปฏิเสธเรา แค่ปฏิเสธที่จะซื้อสินค้า
เมื่อลูกค้าทักหาเราได้ง่าย การเงียบหายไปก็ทำได้ ‘ง่ายดาย’ ไม่ต่างกัน
ลูกค้าออนไลน์อาจจะไม่ได้ปฏิเสธให้เราเสียใจ แต่จะทิ้งข้อความเอาไว้จนเราสงสัยว่า
นี่เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมมมมม ได้ไหม เธอออออออออ
ไม่ซื้อก็บอก ทำไมต้องหลอกให้รอโอน !!!
ถ้าคุณได้มีโอกาสทำงานขาย แล้วต้องไปแนะนำตัวกับลูกค้า
คุณอาจจะเจอการปฏิเสธตั้งแต่ยื่นนามบัตร ยื่นแล้ว-ไม่รับ
แล้วให้เราวางไว้ตรงนั้นเองอย่างละม่อม แต่แท้จริงแล้วลูกค้าต่างก็ไม่ได้ปฏิเสธตัวของเราเลย
แต่เป็นการตัดสินใจซื้อครั้งนั้นต่างหาก เค้าปฏิเสธการมาของเราครั้งนั้น
เค้าปฏิเสธการนำเสนอของเราครั้งนั้น
เราไม่ได้ ‘ดีไม่พอ’ เราแค่ยังหาวิธีการที่จะทำให้ลูกค้าอยาก - เชื่อ - รีบ ไม่พอเท่านั้นเองครับ…
3) ลูกค้าไม่ได้สงสัยใน ‘ราคา’ แต่สงสัยที่ ‘คุณค่า’ ของมัน
โดยส่วนมากแล้ว เวลาที่ผมนำเสนอขาย ผมไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องราคาเลยครับ
เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นคนถามมันด้วยตัวเอง
(ถ้านำเสนอแล้วลูกค้ายังนิ่ง นั่นหมายความว่าการนำเสนอของเราผิดแน่นอนครับ)
ถ้าไม่อยากเจอคำปฏิเสธแบบไม่ได้ตั้งใจ
จงบิ๊วต์ให้ลูกค้าอยากได้มากพอ ก่อนราคาที่เหมาะสมจะปรากฏ
เพราะแต่ละคำที่ลูกค้าได้ยิน แต่ละภาพที่ลูกค้าได้อ่าน ลูกค้าจะตีคุณค่าของมันอย่างเงียบ ๆ
ด้วย ‘ประสบการณ์ของตัวเอง’ ใช่แล้วครับ ประสบการณ์ของเฮียอายุ 50
กับผู้บริหารหนุ่มไฟแรงมันต่างกันแน่ ๆ
แต่มันไม่ใช่ ‘หน้าที่ของลูกค้า’ ที่จะต้องมานั่งสนใจสินค้าทุกตัว
เราต่างหากที่ต้องปรับ ‘มุมมอง’ ที่ลูกค้า ‘เคยมี’ ต่อสินค้าของเรา ให้มีมูลค่ามากขึ้น
ก่อนที่ ‘ราคา’ จะกลายเป็นเรื่องไร้เหตุผล
ก่อนที่ "สินค้า" ของเราจะกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นกับลูกค้าอย่างน่าเสียดาย
และสุดท้ายที่อยากจะฝากก็คือ ยังไงทุกคนก็หนีการขายไม่พ้น
การขายไม่ใช่ตำแหน่ง แต่เป็น 'กระบวนการ' ทีฝึกได้ทุกคน
ขอแค่มีใจ นึกถึงคนตรงหน้า ลูกค้าผู้เต็มไปด้วยโอกาส
ขอให้ทุกคนสำเร็จในงานขายได้แบบสมใจ และสมน้ำสมเนื้อ กับความพยายามครับ