How to Develop a Powerful Pricing Strategy for Your Business
สิ่งที่คุณจะได้รับจากบทความนี้
- ผู้จัดการส่วนมากให้ความสนใจเพียงเล็กน้อยในส่วนของการตั้งราคา วางเเผนการทำงานเพียงเล็กน้อย เเละ ให้การตัดสินใจของราคาขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ผิด
- ตั้งราคาเพื่อความพอใจของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับรู้ถึงคุณค่าของข้อเสนอที่คุณมอบให้
- เมื่อพบเจอลูกค้าครั้งเเรก เซลส์มักจะลดราคาให้ลูกค้าเลย เพราะไม่อยากที่จะเผชิญหน้า เเละกลัวการถูกปฏิเสธ
- การลดราคา เป็นการโยนเงินเเละกำไรออกไป ซึ่งจริง ๆ แล้วกำไรเป็นส่วนสำคัญในการทำธุรกิจ
- คนเรามักไม่เลือกซื้อสินค้าที่ความถูกเสมอ
- หากลูกค้าให้ความสนใจต่อคุณค่าของสินค้าจริง ๆ พวกเขาจะยินยอมเเละยินดีที่จะซื้อในราคานั้น ๆ ถึงเเม้ว่าราคาดังกล่าวอาจจะสูงกว่าที่อื่น
- ราคาที่สูงขึ้นอาจจะทำให้ลูกค้าบางส่วนหายไป แต่ราคาที่สูงขึ้นนั้น หมายถึงกำไรที่มากขึ้น เเละกำไรที่มากขึ้นจะมาทดเเทนในส่วนที่หายไป
- เวลาที่ลูกค้าซื้อสินค้า พวกเขาให้ความสำคัญต่อหลาย ๆ ปัจจัย รวมถึงคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ ชื่อเสียง เเบรนด์ ไม่ใช่เเค่เรื่องราคาอย่างเดียว
- การขึ้นราคาถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างกำไรให้มากขึ้น
- หากคุณเสนอคุณค่าของสินค้ามากขึ้น เช่น การการันตี การวางเเผนการชำระที่ดีขึ้น การติดตั้งฟรี สิ่งพวกนี้ สามารถทำให้คุณเพิ่มราคาสินค้าได้
หลายปัจจัยของการทำธุรกิจนั้นมีความสำคัญเท่า ๆ กับการตั้งราคา เเต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มีความสำคัญเท่า ๆ กัน เช่น ยิ่งราคาสูงเท่าไหร่ คุณก็จะได้รับกำไร หรือผลตอบเเทนมากขึ้นเท่านั้น ปีเตอร์ ฮีล ได้กล่าวว่า สิ่งเเรกของการขึ้นราคานั้น มันแปลกที่ผู้จัดการที่ตั้งราคานั้นส่วนมากไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ ฮิลได้พูดถึงความเชื่อทั่วไปเกี่ยวกับการตั้งราคา โดยการอธิบายว่าวิธีไหนเป็นวิธีที่ดีที่สุด เเละยังให้คำเเนะนำว่า วิธีไหนที่คุณจะสามารถสร้างกำไรขึ้นมาได้ เเต่คุณจะต้องเลือกคำเเนะนำที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ไม่ใช่เซลส์ขายทุกคนที่จะต้องส่งปฏิทินวันคริสต์มาส หรือปากกา เพื่อที่จะเรียกลูกค้าให้กลับมาใช้บริการ หรือพูดง่าย ๆ ว่า การกลับไปติดต่อลูกค้าเพื่อให้ลูกค้าติดต่อกลับมา ถึงเเม้ว่าคำเเนะนำอันนี้เหมาะสมกับฮีลมาก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น โฮมสไตล์ หรือการเรียกลูกค้าเเบบบ้าน ๆ ฮีลกล่าวว่าไอเดียของเขานั้น สามารถนำไปใช้ได้ดีเหมือนที่เเอปเปิลทำร้านขายเเอปเปิล Get Abstract ได้เเนะนำวิธีเหล่านี้ไปยังซีอีโอ ไฟแนนซ์ พนักงานขาย นักวิเคราะห์การตลาด นักบัญชี เเละนักวางเเผนกลยุทธ์ เเละเเนะนำกับทุก ๆ คนที่ขายสินค้า หรือขายบริการ
บทสรุป
- การเพิ่มกำไร เเละการเพิ่มราคา
1. คุณจะต้องหาลูกค้าเพิ่ม
2. โน้มน้าว หรือสนับสนุนลูกค้าในปัจจุบันให้เขาซื้อสินค้าเพิ่ม
3. ตัดต้นทุนเเต่ต้องทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือผลิตได้มากขึ้น
4. เพิ่มมาตรฐานเเละคุณค่าของสินค้า เช่น การโปรโมตแพ็กเกจ หรือการทำแพ็กเกจให้ดีขึ้น จะช่วยทำให้ราคาของสินค้าดูมากขึ้น
5. เพิ่มราคาสินค้า หรือบริการ ที่คุณขาย
ตัวเลือกสุดท้าย คือ การเพิ่มราคา ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุด เเละเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้กำไรมากขึ้น มันเป็นอะไรที่ดีมาก เเต่นักธุรกิจหลายคนปฏิเสธที่จะใช้วิธีการดังกล่าว เพราะพวกเขากลัวว่า การที่จะเพิ่มราคาสินค้านั้นจะส่งผลกระทบต่อการขาย เช่น อาจจะขายได้น้อยลง หรือขายไม่ออก งานวิจัยเกี่ยวกับลูกค้าได้กล่าวว่า68% ของลูกค้าเลิกซื้อสินค้าดังกล่าว เพราะมันไม่มีการพัฒนาในด้านคุณภาพมากไปกว่าราคาของสินค้า ซึ่งกลุ่มที่สนใจในราคาสินค้านั้นเป็นจำนวนเพียงเเค่ 10%
ถึงเเม้ว่าของ หรือสินค้าที่จะไม่ได้นั้น จะเป็นเพราะปัจจัยอื่น ๆ เเต่คนขาย หรือเซลส์นั้น จะอ้างว่าเป็นเพราะราคาสินค้ามันขึ้น จึงส่งผลให้พวกเขาขายของไม่ได้ เมื่อเสนอราคาของโปรเจกต์
ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาเเทบจะไม่พูดถึงว่าอะไรที่ทำให้คุณสนใจในสินค้ามากพอ หรือทำไมคุณถึงเลือกเรา? หรือพวกเขาไม่ติดตามเพื่อตรวจสอบหรือดูปฏิกิริยาของลูกค้า มีเซลส์มากมายที่ไม่สามารถจัดตารางการเปลี่ยนเเปลงของเปอร์เซ็นต์ที่เเผนการจะมีผู้นำมาขาย
- การเผชิญหน้า หรือการปฏิเสธ
พวกเขากังวลว่า ลูกค้าของเขาจะปฏิเสธการขายของเขาโดยทันทีถ้าพวกเขาเสนอราคาที่สูงขึ้น ผู้ขาย หรือ เซลส์นั้นมองว่าการขึ้นราคา หรือราคาที่สูงนั้นเป็นขอบเขตที่พวกเขาไม่รู้จัก เเละขอบเขตดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำให้คนกลัว รวมไปถึงผู้ขาย เเละผู้จัดการ นักธุรกิจส่วนมากสามารถระลึกได้ว่า ลูกค้าจะโกรธมากเพราะราคาตั้งที่สูงขึ้น
นักธุรกิจส่วนมาก พยายามที่จะคงราคาที่ต่ำเอาไว้เเละไม่ขึ้นราคา เเละนี่เป็นสิ่งผิดพลาดทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด เพราะว่า ลูกค้าไม่ได้ซื้อของโดยทันทีถ้าหากว่าราคามันถูก เพราะพวกเขายังพิจารณาถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น คุณภาพ ความน่าเชื่อถือ ชื่อเสียง เเบรนด์ที่น่าสนใจ เเละอื่น ๆ อีกมากมาย อีกทั้งลูกค้าบางกลุ่มยังวิ่งเข้าหาราคาที่มีสินค้าสูง เพราะพวกเขาเชื่อว่า สินค้าที่มีราคาถูกนั้น คุณภาพของสินค้าก็จะถูกตามราคาไปด้วย
- ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการตั้งราคา
- การลดราคา 50% คือการลดราคา 50%
-- ร้านค้าขยายราคาสินค้าที่โชว์หรือเรียกว่า การสั่งซื้อก่อน เพื่อที่จะให้เหมาะสมกับการลดราคา 50% ซึ่งอาจจะเป็นการขายที่เกินราคาจริงเเละลดราคาลงเพื่อให้เหมาะสมกับการลด 50%
- ทุกราคาต้องลงท้ายด้วยเลข “9”
– เป็นการสะท้อนยุคสมัยเก่าในการควบคุมราคา เเต่ไม่สามารถนำไปใช้ในปัจจุบันได้เเล้ว เพราะทุกวันนี้เราอยู่ในยุคการจ่ายโดยระบบออนไลน์
- คนที่ดีที่สุดในการตั้งราคาคือผู้ขายหรือเซลส์
– จริง ๆ เเล้วเซลส์จะเป็นคนเเรกที่เสนอการลดราคาให้กับลูกค้าที่สนิท เเต่จริง ๆ เเล้ว คนขายหรือเซลส์ส่วนมากนั้น ไม่มีความรู้ในการตั้งราคา ซึ่งจะต้องใช้ความรู้เฉพาะทางด้านการเงิน
- ราคาที่ตั้งไว้จะถูกตัดสินใจปีละครั้ง
-- ส่วนนี้เป็นสิ่งที่ล้าสมัยมาก เพราะว่าจริง ๆ เเล้วยิ่งคุณวางเเเผนราคามากเท่าไหร่ คุณจะมีความสามารถเฉพาะด้านมากขึ้นเท่านั้น
บริษัทส่วนมากตั้งราคาผิด ๆ บางรายเปลี่ยนการตั้งราคาให้ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ในการตั้งราคา โดยการเพิ่มต้นทุน ที่ราคาการขายจะถูกตัดสินโดยเปอร์เซ็นต์ของราคาต้นทุน เเล้วหลังจากนั้นพวกเขาจะตั้งการลดราคาที่ได้รับจากผู้ผลิต เเละส่งต่อให้กับลูกค้า ดังนั้น วิธีดังกล่าวเป็นการปัดผลกำไรที่คุณสมควรจะได้เพิ่มขึ้น หากคุณทำให้ราคามันคงที่ เพราะลูกค้าไม่รู้ว่าต้นทุนของคุณราคาเท่าไหร่ ดังนั้น กลยุทธ์ดังกล่าวนี้จึงเป็นข้อผิดพลาด
การลดราคาให้ถูกลง หมายความว่า กำไรที่คุณจะได้รับนั้นก็ต้องต่ำลงไปด้วย เเต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้จัดการก็ยังที่จะพยายามกดราคาให้ต่ำลงไปกว่าบริษัทคู่เเข่ง กลยุทธ์นี้ได้ถือว่าเป็นความผิดพลาด เเละไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะบริษัทบางบริษัทเต็มใจที่จะขายถูก เเละบริษัทเล็ก ๆ ไม่สามารถที่จะลดราคาเยอะ ๆได้ หากจะเเข่งขันกัน อีกข้อผิดพลาดหนึ่งในกลยุทธ์การตั้งราคา คือ การเพิ่มราคานิดหน่อยในสิ้นปี วิธีดังกล่าวเป็นวิธีที่ไม่มีกฎเกณฑ์เเละถูกสร้างตามความอำเภอใจ การที่คุณเพิ่มราคาสินค้า 3% 4% รายปีนั้น ไม่ได้หมายความว่า คุณให้คุณค่า 3% 4% ต่อลูกค้าของคุณ สินค้าของคุณไม่ได้มีคุณภาพมากขึ้น ข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกลยุทธ์การตั้งราคานั้นคือการคาดเดา โดยที่ไม่มีการวิจัย หรือการวิเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งการคาดเดาของคุณอาจถูกต้อง หรือไม่เกี่ยวข้องเลย เเต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การตั้งราคาไม่ควรจะเกิดขึ้นตามอำเภอใจ หรือความไม่ได้ตั้งใจ หรือขาดการวางเเผน
- คุณค่าของการตั้งราคา
คุณค่าของการตั้งราคาต้องใช้ความระมัดระวังในความคิด งานวิจัยที่เฉพาะทาง เเละการวิเคราะห์อย่างเข้มข้น เละเมื่อคุณสามารถตัดสินราคาที่เป็นไปตามคุณค่าราคาของสินค้าจริง ๆ ลองตั้งราคานั้นดู เพื่อที่จะดูว่าลูกค้าเห็นด้วยกับเราหรือไม่? หรือลูกค้าสนใจสินค้าของเราไหม? ขั้นตอนนี้จะทำให้เรารู้ถึงปัญหาเเละข้อผิดพลาดของราคาสินค้าได้ หรือเพิ่มราคาเพื่อที่จะเพิ่มคุณค่าของสินค้า ยกตัวอย่างเช่น คุณจะต้องรวมถึงการการันตี เเละทำให้สินค้าของคุณมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น หรืออาจจะเป็นการติดตั้งให้ฟรี เพื่อเรียกร้องความสนใจจากลูกค้า
เพื่อที่จะได้กำไรที่มากขึ้นต่อหนึ่งการขายนั้น คุณควรจะเสนอข้อคิดเห็นที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น ตัวเลือก ระดับพื้นฐาน ระดับกลาง หรือระดับสูง ลูกค้าจะมองเห็นความการันตีเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าทำให้ความเสี่ยงลดลง การลดความเสี่ยงนั้น เป็นการดึงดูดความสนใจของเซลส์ ยิ่งลูกค้าลดความเสี่ยงมากเท่าไหร่ ลูกค้าจะยิ่งเต็มใจที่จะจ่ายมากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่จะลดความเสี่ยงลง
- ลดราคาของการลดราคา
การที่คุณจะทำให้การลดราคาของคุณนั้นไม่ดึงเงินออกมาจากกำไรที่คุณสมควรจะได้ คุณจะต้องรู้จักจัดการกับมัน ซึ่งอาจจะเป็นการประมาณค่าราคา คุณอาจจะขอบทสรุปการเงินที่หายไปจากการลดราคาจากการเงินของบริษัทคุณ คุณจะต้องจำกัดการลดราคา โดยการที่คุณจะต้องร่วมมือกับหน่วยงานขาย เเละควบคุมการลดราคาเพื่อที่จะลดผลกระทบต่อกำไร หรือเงินที่คุณควรจะได้รับ
4 เหตุผลที่บริษัทต่าง ๆ เสนอการลดราคา
- เพราะคนอื่น ๆ เขาก็ทำกัน -- ข้อนี้เป็นข้อที่เเย่ที่สุดในการทำธุรกิจ
- พวกเขาคิดว่ามันอาจจะเป็นการเพิ่มการขาย – เเต่จริง ๆ เเล้ว บริษัทใหญ่ ๆ ลดราคา เพื่อที่จะเปิดรับสินค้าใหม่ ๆ
- พวกเขาได้ตั้งราคาไว้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลดราคาเเล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น กำไรจะยังคงอยู่ เพราะพวกเขาได้คำนวณไว้เเล้ว – สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจผิด ๆ ต่อลูกค้า เพราะว่าบริษัทส่วนมากถูกวางเเผนเพื่อที่จะได้รับกำไรก้อนโต
- เซลส์อยากที่จะขายสินค้าได้เร็ว ๆ -- เซลส์ส่วนมากไม่ได้รับการฝึกฝนที่เพียงพอจากการเริ่มต้นขาย พวกเขาเริ่มจากการลดราคา
ฝึกฝนคนของคุณให้เรียนรู้เรื่องการตั้งราคา เเละการลดราคา เเละคุณจะต้องให้พวกเขาเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่ลูกค้าต่อรองราคาสินค้า เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าเขาควรทำอย่างไร เเละอย่าลืมที่จะสอนพวกเขาไม่ให้เคยตัวกับการเสนอข้อลดราคา พวกเขาจะต้องเป็นผู้กำหนดราคาของลูกค้า
ทำให้เขารู้ว่าความขยัน เเละความพากเพียรนั้น จะเป็นตัวชี้นำพวกเขาให้ไปถึงจุดหมาย ไม่ใช่ราคาที่จะนำพวกเขาไปถึงจุดหมายได้ เเละทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจ คือการให้ความคุ้มค่าของสินค้า คุณอาจจะให้สินค้าบางอย่างหรือบริการบางอย่างต่อเซลส์ เพื่อที่จะให้เป็นตัวเลือกของลูกค้า เพื่อที่ลูกค้าจะได้มีตัวเลือกมากกว่า เช่น รับสินค้า หรือไม่รับสินค้า ตัวเลือกเหล่านี้อาจจะใช้เป็นข้อต่อรองกับลูกค้า ตัวเลือกของการตั้งราคาถูกใช้ได้ดีเลยทีเดียว ฝึกพนักงานขายของคุณเพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้มีความสามารถที่จะนำเสนอสินค้าเเละบริการของคุณในทางที่มีคุณค่ามากที่สุด
จัดเรียงทีมงานตั้งราคา จากคนที่เก่งที่สุดในเเต่ละเเผนก เช่น หน่วยการเงิน เเละหน่วยการขาย เพื่อที่จะทำให้การตั้งราคาเริ่มต้นของคุณมั่นคง เเละทีมงานดังกล่าวควรจะต้องอัปเดตราคาสินค้าของบริษัทอยู่เรื่อย ๆ หรือในทุก ๆ สี่เดือน
- การหาเงินเพิ่ม
- เริ่มต้นเดือนหน้า คุณจะต้องเพิ่มราคาสินค้า 5% เเละจัดเตรียมขั้นตอนการเปลี่ยนอย่างทันที
- จงอย่าเเจกสินค้า คุณจะเเจกก็ต่อเมื่อมันเป็นโบนัสเมื่อลูกค้ามาซื้อสินค้าของคุณ ยกตัวอย่างเช่น เสนอการจัดส่งฟรี เมื่อลูกค้ามาซื้อของ
- เพิ่มคุณค่าราคาของสินค้าเเละการบริการ โดยการเพิ่มคำชมของสินค้า
- อย่าใช้ราคาที่พอดี เช่น 100 ดอลลาร์ เเต่เปลี่ยนมันให้มากขึ้นนิดหน่อย เช่น 101.87 ดอลลาร์ เพื่อเเสดงให้เห็นว่า คุณได้เจาะจงคุณค่าของมัน
- อย่าใช้วิธีการเพิ่มต้นทุนในการเก็งกำไรที่มากขึ้น
- เปลี่ยนคำบรรยายของสินค้าให้เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น เช่น การลงทุนของคุณนั้นเเสนคุ้มค่า เพราะห้องนอนใหม่ของคุณมีราคาเเค่...เเละหลังจากนั้นก็ตามด้วยราคาสินค้า
- อย่าลืมที่จะใส่ตัวเลือกเเพง ๆ ลงไป เพื่อที่จะทำให้ตัวเลือกที่ถูกนั้นน่าสนใจ น่าดึงดูดมากกว่าสำหรับลูกค้า
- เพิ่มคุณค่าของสินค้าในสิ่งที่คุณขาย เเละองค์ประกอบที่ทำให้สินค้าของคุณมีคุณค่ามากขึ้น
- คุณอาจจะจัดหาวิธีการจ่ายที่น่าสนใจ เพื่อที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าราคาสูงนั้นเป็นอะไรที่รับได้ อาจจะเป็นการผ่อน 0%
การตั้งราคา คุณจะต้องรู้ว่าสินค้าเเบบไหนที่คุณสามารถเก็งกำไรได้มากที่สุด เเละลูกค้าประเภทไหนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของสินค้าดังกล่าว เรียงลำดับลูกค้าของคุณเอ บี ซี เเละนำกลุ่มที่เเย่ที่สุดออกไป เพราะว่าพวกเขาทำให้บริษัทของคุณเสียเงินมากกว่าที่จะได้เงิน หากคุณยังสนใจลูกค้ากลุ่มนั้น เเละเมื่อคุณขึ้นราคา อย่าลืมที่จะอธิบายเหตุผลของการขึ้นราคาของคุณด้วย
อย่าลืมที่จะอัปเดตราคาทุกเดือน เเละอย่าให้ราคาเก่า ๆ ที่เคยมี มามีอิทธิพลต่อกลยุทธ์การตั้งราคา ทำงานวิจัยว่าคู่เเข่งของคุณให้ราคาสินค้าเเละบริการเท่าไหร่ อย่าลืมที่จะวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว เเละมองหาโอกาสที่จะเพิ่มกำไรของคุณ
- การนำเสนอ
หลาย ๆ บริษัทฉลาดที่จะเลือกการใช้การตั้งราคาตรง ๆ เพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้า หรือบริการที่ทำให้มีกำไรที่มากขึ้น หนึ่งหนทางที่จะทำเเบบนั้นคือการส่งเสริมให้ลูกค้าซื้อสินค้าที่เเพงขึ้น หรือสินค้าที่สามารถเก็งกำไรได้มากขึ้น เราจะเรียนวิธีนี้ว่า อัป เซลส์ สินค้าดังกล่าวจะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น เเละมีราคาที่สูงขึ้นตามลำดับ เเต่ก่อนที่คุณจะตั้งราคาตรง ๆ นั้น คุณจะต้องมั่นใจก่อนว่าคุณรู้ลึก รู้จริงเกี่ยวกับสินค้านั้น ๆ คุณควรจะรู้ด้วยว่า กำไรที่คุณได้รับต่อสินค้านั้น ๆ คือเท่าไหร่? เเละความต้องการของสินค้ามีมากเเค่ไหน? คุณอย่าลืมที่จะคำนึงถึงความยืดหยุ่นของความต้องการ หรือราคาของสินค้า เพื่อที่ว่าคุณจะได้รู้ว่ากำไรที่เเท้จริงนั้นเท่าไหร่
- ข้อมูลที่สามารถพิสูจน์ได้
คุณจะต้องเตรียมพร้อมเเละมีความอดทน เพราะว่ามันมีปัจจัยที่ทำให้คุณไปถึงความคิดในการตั้งราคา เช่น กลยุทธ์ เเละกลวิธี เเละเรียกร้องคนที่ไม่ยอมรับข้อเสนอให้เสนอหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ ความจริงที่เด่นชัด จงอธิบายว่าทำไมบริษัทของคุณถึงต้องยึดติดกับสถานภาพปัจจุบัน เเล้วมุ่งจุดสนใจไปที่ผลกำไร โดยการเริ่มจากป้ายราคา
อย่าลืมเอาไปใช้กับธุรกิจของคุณด้วยนะครับ