มีคนทำสำเร็จเยอะแยะมากมายครับ
ซึ่งรายละเอียดของจักรวาลเฟสบุคนั้นมีมากมาย และนี่คือส่วนหนึ่งที่เราจะต้องรู้ครับ
1 ) จงสร้าง Content ที่ปั้นมาเพื่อ "ปิดการขาย"
จากประสบการณ์การทำแฟนเพจ
ในแบบให้ความรู้และขายของตรง ๆ
สิ่งที่ผมพบก็คือ Content ที่สร้าง Viral
มักไม่ได้สร้างยอดขายอลังการ
อย่าให้จำนวนแชร์มันหลอกเรา
ส่วนใหญ่ Campaign Viral จะทำให้คนรู้จักชื่อ แต่ไม่สามารถปิดการขายได้
( Note : คำว่า Viral ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นกระแส
ที่ Social Media พูดถึงตลอด
แต่ขอให้เป็นกระแสในขอบเขตธุรกิจนั้น ๆ ครับ )
แต่ในชีวิตจริง
หลาย ๆ Content ที่ถูกขีดเขียนมาในแบบที่ Sharable
คือแฟนเพจอ่านปุ๊ป ต้องอดใจไม่ไหว
เราจะเห็น Content แบบนี้มีจำนวนยอดแชร์รวมไหลไปเป็น 1,000 เป็น 10,000
แต่กลับกลายเป็นว่า "ดูดี แต่ไม่มียอดขาย"
(สามารถอ่านละเอียด " 5 ลักษณะ SALES CONTENT ทำเงินล้าน " ได้ที่ลิ้งนี้นะครับ
https://goo.gl/fEkH8Y )
2 ) หา "นักวิ่ง" ที่ดีที่สุดแล้วอัดฉีดเงินเข้าไป
ข้อดีที่สุดอย่างหนึ่งของ Social Media
และคนส่วนใหญ่มักพลาดที่จะใช้นั่นคือ
"การปรับตัว" ด้วยความรวดเร็วของ Social Media
เราสามารถปล่อย Campaign ได้ภายในครึ่งวัน
แต่สิ่งที่มีประโยชน์มากกว่านั้น คือการวัดผลตอบรับของลูกค้า
ถ้าเป็น Offline
นอกจากจะใช้เวลาออกแบบบูธ
ทำ Backdrop จัดโต๊ะ แล้ว
วงจรตั้งแต่เริ่มคิด Campaign
จนถึงวัดผลยอดขายที่ได้รับอาจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือ 1 เดือน
แต่ความเป็น Online
อนุญาตให้เราปรับตัว และ "ทดลอง"
การทำการตลาดออนไลน์
คือ การทดลองหาวิธีการสร้างยอดขายที่ดีที่สุดในขณะนั้น
ยิ่งทดลองมาก ยิ่งได้เปรียบ
เราอย่าคิดว่า แนวทางการโปรโมทที่ทำอยู่นี้คือดีที่สุดแล้ว
เหนือฟ้ายังมีฟ้า
เหนือปัจจุบันยังมีการอัพเดทของ Facebook หรือ LINE
เมื่อ Direction ของแพลทฟอร์มเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนตาม
ถึงแม้จะยุ่งยากแต่เจ้าของแพลทฟอร์ม
ก็ทำเพื่อพัฒนาให้ทุก ๆ คนพึงพอใจมากขึ้น
ดังนั้น อย่าละเลยที่จะคิดวิธีการโปรโมทแบบใหม่
ยกตัวอย่างเช่น
-เคยถ่ายรูปสินค้าเดี่ยว ๆ ลองมาถ่ายรูปกับสถานที่สวย ๆ ไหม
-เคยใช้สื่อหลักเป็นภาพของทำคลิปดีไหม
-เคยโปรโมทในแฟนเพจตัวเอง ลองใช้ Influencer ดีไหม (พวก Blogger หรือ Net idol)
เมื่อเจอ Content ที่สร้าง Organic reach สูง ๆ
กว่าโพสต์อื่น ๆ
และมาพร้อมกับสัญญาณซื้อ คือ
การทัก Inbox มาถามเรื่องสินค้า
หรือคอมเม้นต์ถาม
นั้นแปลว่าเราเจอ "นักวิ่ง" ที่ดีที่สุด ณ ตอนนั้นแล้วครับ อัดเงินโฆษณาเข้าไปในโพสต์นั้นเน้น ๆ เลยครับ
3 ) ลดละเลิกการปั่นเพจไลค์แบบเลอะเทอะ
สำหรับคนที่มีงบน้อย
อย่าทุมงบทั้งหมดไปที่ Page Like
เพราะมันไม่เคยการันตีอะไรสักอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่ค่อนข้างจะห่างไกล
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง
ประเด็นที่ผมอยากจะถามก็คือ
เราเพิ่ม Page Like เพื่ออะไรบ้าง?
เพจหลักล้านบางเพจไม่สามารถสร้างยอดขายได้เยอะ
เท่ากับ Followers ที่มี
ซึ่งนั้นก็อาจจะเป็น เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจทำเพจเพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายตั้งแต่แรก ยังเป็นแค่ Media เท่านั้น
(สามารถอ่านละเอียด " xxx " ได้ที่ลิ้งนี้นะครับ)
4 ) พูดคุยกับลูกค้าเหมือนอยู่ตรงหน้าเรา
ข้อดีของการ Chat
ก็คือความรวดเร็วในการสื่อสาร
ไม่ต้องมีเวลาเยอะหรือว่างพร้อมกัน ก็ส่งข้อความไปได้
แต่อีกมุมนึงที่สำคัญข้อเสียของการ chat
คือ มันขาดความทรงพลังของการขาย
เวลาที่เรา Copy ข้อความเพื่อส่งไปหาคนอื่น ๆ ในแชท
เราจะรู้สึกว่า ข้อความไปได้อย่างรวดเร็ว
แต่คนส่วนใหญ่มักละเลยการ Follow up
คนที่ได้รับข้อความนั้น ๆ
ไม่ใช่ทุกคนที่ซื้อตั้งแต่ได้ยินเสียงลุงขายไอศกรีมที่ถีบรถเข็นมา
ใน Chat เราสามารถพูดคุยแบบส่วนตัวกับลูกค้าแต่ละคนได้
คำว่า "ส่วนตัว" ในที่นี้นั้นหมายถึง
ความเฉพาะเจาะจงกับปัญหาของลูกค้า
พื้นฐานของลูกค้า และระดับความพึงพอใจ
ปรับความคิดซะใหม่ครับ
การคุยกับลูกค้า คือ การขายให้กับลูกค้าที่สนใจ
ไม่ใช่แค่การตอบส่ง ๆ ไปให้จบ
Admin ที่เหมาะสมในการตอบลูกค้าคือ
Admin ที่มีจิตของ "นักขาย"
เราไม่ได้แค่ระบบอัตโนมัติ
เราเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์
โดยสรุปก็คือ อย่าปล่อยผ่านลูกค้าที่ทักมาทางแชทเรา
ให้เหมือนกับลูกค้าที่เดินเข้ามาทักเราในบูธ
เพราะทุกความสนใจมีมูลค่าเสมอครับ
Note : เมื่อเราใช้โปรแกรมแชทคุยกับลูกค้า
เราไม่สามารถแสดงน้ำเสียงอันเป็นมิตรได้
จงใช้ภาษาพิมพ์ที่เป็นกันเอง
แต่สุภาพเพื่อแสดงความอบอุ่นผ่านตัวอักษร
และอย่าลืมว่าช่องที่เราส่งข้อความไป
มีคนรับสารเป็นคน
เราสามารถพูดคุยได้เหมือนกับลูกค้าคนนึงที่เดินเข้ามาหยิบจับสินค้าในร้านครับ
ยอดขายเฉลี่ยต่อลูกค้า
คือสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมาก
คนส่วนใหญ่ชอบวิ่งล่าลูกค้า ชอบใช้ "จำนวน" เป็นตัวนำ
แต่จำนวนที่ไร้คุณภาพสร้างปัญหาตามมาเสมอ
ถ้าลูกค้าของเรามีไม่เยอะอย่างตลาด Mass อื่น ๆ
ซึ่งมันเป็นไปได้สูงที่ ผู้เล่นรายใหม่ หรือผู้เล่นรายเล็กอย่างเราจะเจาะตลาดเฉพาะ
ซึ่งข้อเสียของตลาดเฉพาะก็คือ
ฐานลูกค้าเล็กกว่าตลาด Mass
เมื่อเล็กกว่าแต่อยากได้ยอดขายเท่ากันหรือมากกว่าตลาด Mass
หนทางเดียวของตลาด Niche ก็คือ
เพิ่มยอดขายต่อหัวของลูกค้า
ซึ่งการวางกลไกนั้นเป็นเรื่องสำคัญครับ
การที่ลูกค้าซื้อเยอะนั้นเกิดจากการวางแผนล้วน ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการเทรน Admin อย่างดี
หรือการวางโปรโมชั่นไว้เพื่อดันยอดขายให้ขึ้นไปจากที่ลูกค้าคาดคิดไว้ตอนแรก
Key idea ของข้อนี้ก็คือ
เรารู้ไหมว่า ลูกค้ายินดีจะจ่ายเพื่อสินค้าของเรามากที่สุดเท่าไหร่
1,000 บาท แพงไปไหม หรือ 8,000 บาท ยังถูกไป
Note : ราคานั้นขึ้นกับกลุ่มลูกค้าด้วยนะครับ
C , B , A จะ Sensitive ต่อราคาแตกต่างกันออกไปครับ
ขั้นต่ำที่ลูกค้าซื้อได้
คือ ขั้นต่ำที่เราจะขาย
และการวางโปรโมชั่นนั้นเป็นไป
เพื่อเพิ่มยอดขายต่อหัวให้เป็นระดับกลางและสูงสุด
ยกตัวอย่างเช่น
ลูกค้าจะซื้อครีมอยู่ที่ 1,200 บาท (ลูกค้าระดับ B ถึง B+)
เราจัดเซ็ทโปรโมชั่นตั้งแต่ 2,100 บาท
จนถึงเซ็ทสูงสุด 3,000 บาทก็ได้
a ) 1 หลอด 1,200 บาท
b ) 2 หลอด 2,100 บาท
c ) 3 หลอด 3,000 บาท
การทำบันไดราคาที่ผูกกับ Volume
เป็นรูปแบบนึงของ Promotion
ที่จะเป็นกลไกช่วยดันให้ลูกค้าซื้อมากขึ้นกว่าที่เขาคิดครับ
ส่วน Mechanic อื่น ๆ นั้นมีหลายรูปแบบครับ
เช่น การสะสมแต้ม ,ทำระบบสมาชิก ,
การให้ส่วนลดสำหรับครั้งต่อไป ,
การแถมสินค้า Exclusive เป็นต้น
และผมเชื่อว่ามีอีกหลายวิธีในการวางกลไก
เพื่อให้การขายง่ายขึ้นและดันยอดขายได้เยอะขึ้นอีกครับ
6 ) ต้องบีบบังคับให้ลูกค้าซื้อ
Procastination
คือการผัดวันประกันพรุ่งที่น่ากลัว
และเป็นภัยต่อยอดขายของเรา
ลูกค้าถาม แต่ไม่ซื้อ
อาจจะเกิดจากความไม่มั่นใจในตัวสินค้า
แต่สาเหตุหลักอีกอย่าง
ก็คือ ลูกค้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องซื้อตอนนี้ต่างหาก
วันนี้ผมมี 2 วิธีที่จะให้ลูกค้าซื้อทันที
a ) การกระตุ้นซ้ำ
อารมณ์สูงซื้อง่าย อารมณ์สูงจ่ายเยอะ
และในทางกลับกัน
อารมณ์ต่ำซื้อยาก อารมณ์ต่ำจ่ายน้อย
ทุกครั้งที่เรายิงสื่อออกไป
ก็เพื่อดึงอารมณ์ซื้อของลูกค้าให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ
การยิงสื่อซ้ำ
ก็เพื่อดึงความอยากให้กลับมาอีกครั้ง
แต่ข้อแนะนำก็คือ ควรเปลี่ยนสื่อที่ใช้
เพราะลูกค้าจะคุ้นชินกับ Content เดิมไปแล้ว
อารมณ์อยากซื้อจะไม่เท่ากับครั้งแรกที่ได้เสพ Content แน่นอน
ดังนั้นต้องใช้ Content ใหม่ ยิงซ้ำในจุดเดิม
เพื่อปลุกลูกค้าให้กลับมาอีกครั้งครับ
ความจำกัดกรอบการตัดสินใจ
เวลามากก็เรื่องมาก
ถ้าเราทำได้ดีในการสื่อสารกับลูกค้า
เรื่องจุดขาย ความแตกต่างจากแบรนด์อื่น
ความคุ้มค่า
ก็เหลือภารกิจอย่างเดียวที่เราจะต้องพิชิต
ก็คือ กรอบการตัดสินใจครับ
ซึ่งข้อจำกัดที่มักใช้ในการตลาดนั้น
ก็มีพวก เวลา ,จำนวนสิทธิ์ นั่นเอง
ไม่มากไม่น้อยเกินไป
จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้านั้นระยะเวลาที่เราต้องการครับ
และทั้งหมดนี้ก็เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยสร้างยอดขายให้คุณ
ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะครับ