ก่อน 30 ต้องรู้ 3 ข้อนี้ แล้วชีวิตจะวิ่งไว ไกลสุดลูกหูลูกตา I SALESARM


Blog Detail

ปีที่แล้วก็เป็นอีกปีที่อลังการสุดแห่งความ Productive 
มีโอกาสเข้ามาตลอดทั้งปี จนต้องพยายามเบรกไว้ก่อน 

ความรู้สึกเหมือนการทบต้นทบดอกของสิ่งที่เราทำลงไป 
มันระเบิดพุ่งขึ้นมาเหมือนลาวาแบบตั้งรับเกือบไม่ทัน… 
แต่เราอย่าไปกังวลมากนัก ถ้าชีวิตจะมีเรื่องให้ “คิดหนัก” ตลอดเวลา 
เพราะทุกครั้งที่เราตัดสินใจครั้งใหญ่  ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ 
และถ้าได้เลือกอย่างมั่นใจแล้ว ไม่ว่าจะเลือกซ้าย-ขวา หรือข้างหน้าก็ตาม 
ก็จะทำให้ “ภาพใหญ่” ของเรา เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอยู่ดีครับ… 

ดังนั้น วันนี้ผมจึงมี 3 ข้อคิดที่ผมแน่ใจ เมื่อตอนอายุเข้า 30 
และเชื่อว่า 3 ข้อนี้ จะนำพาให้ทุกคนไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตามาฝากกันครับ… 

1) จงหาจิ๊กซอว์เตรียมเอาไว้

เมื่อเรามีส่วนประกอบมีครบทุกชิ้น ภาพความสำเร็จจะถูกต่อจนสมบูรณ์
และจิ๊กซอว์ที่พูดถึงนี้ก็คงไม่มีสิ่งอื่นใดสำคัญไปกว่า “เพื่อนร่วมเส้นทาง”

เพื่อนร่วมทางบางคน เราเรียกว่า พาร์ตเนอร์
เพื่อนร่วมทางบางคน เราเรียกว่า ลูกน้อง
เพื่อนร่วมทางบางคน เราเรียกว่า คู่ค้า

เพราะความโชคดีของเรา ขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่นึกถึงเราใน ‘ทางบวก’ 
แม้ในตอนแรกเราจะไม่รู้ก็ตามว่าจิ๊กซอว์ชิ้นนี้จะไปต่อที่ภาพส่วนไหน...
แต่มันจะกลับมาเติมให้ภาพสมบูรณ์ในภายหลัง… 
“คนที่เราต้องการ” คือส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดต่อความสำเร็จของมนุษย์ 
เพราะคนคนนั้นมีทรัพยากรทุกอย่างที่โลกมี ไม่ว่าจะเป็น เงิน ความสามารถ 
เทคโนโลยี  หรือแม้แต่จิ๊กซอว์ชิ้นถัดไป  คือ Connection ที่เราขาดอยู่นั่นเอง…
เพราะความเร็วนั้นสำคัญมาก  มากจนบางทีเราตัดสินใจยากมากว่าจะเริ่มจากทางไหนก่อน 

และหลาย ๆ ครั้งการร่นระยะเวลาเร็วขึ้นสัก 1 ปี  แลกกับการเสีย “ส่วนแบ่ง” ไป
ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ควรทำครับ  มันไม่จำเป็นเลยที่เค้กทั้งถาดจะต้องตกเป็นของเรา 
ในเมื่อคนที่จะมาแบ่งเค้กไป จะช่วยทำให้ถาดมันใหญ่ขึ้นเป็น 100 เท่า 
เพราะเค้กอันใหญ่ยักษ์เมื่อถูกแบ่งก็ยังใหญ่อยู่ดี… 

หลาย ๆ ธุรกิจต้องพ่ายแพ้ ก็เพราะช้าไปเพียงแค่ปีสองปี แต่ถ้ามาเร็วกว่าเดิมสักปีสองปี
เราก็อาจจะได้เห็นหนังคนละม้วน 
แทนที่จะได้แสดงในหนังรักจบแบบสวยงาม มีบ้าน มีรถ มียอดขายอีก 1,000 ล้าน 
แต่กลับกลายเป็นหนังเศร้าตกระกำลำบาก ธุรกิจล้มละลายในตอนจบ… 

ส่วนวิธีการเก็บจิ๊กซอว์อย่างง่าย ๆ  และทำได้ทันทีก็คือ  จงช่วยเหลือคนอื่นก่อนอย่างสม่ำเสมอ 
และนั่นก็เป็นที่มาว่าในจุดเริ่มต้นนั้น เราควรเก่งสิ่งที่ถนัดอย่างเหนือชั้น 

เก่งอย่างที่กล้าท้าแข่งกับคนอื่น แล้วเราจะไม่พ่ายแพ้เอาง่าย ๆ 

นำสิ่งที่เราถนัดทำได้ง่ายแค่พลิกฝ่ามือ  แต่มีมูลค่ามากมายมาช่วยคนอื่น 
เพื่อนที่พร้อมจะช่วยคุณจะเยอะขึ้นเรื่อย ๆ  โดยที่คุณแทบจะไม่เสียอะไรเลย…
อย่าลืมว่า “Connection”  ต้องมีการเชื่อมต่อจริง ๆ ไม่ใช่แค่รู้จักชื่อ
“แต่ต้องรู้จักช่วยกัน”
แต่ถึงยังไงก็ตาม  เมื่อจะช่วยคนอื่น อย่าหวังว่าเค้าจะต้องช่วยเรากลับ
ไม่ต้องนับมันหรอกครับ  แค่ช่วยไปเรื่อย ๆ พอถึงจุดหนึ่งหันไปทางไหน 
ก็จะมีแต่คนพยักหน้า  แล้วถามเราว่า “มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”… 
แค่นี้ชีวิตก็จะง่ายและเร็วขึ้นมาก 

เมื่อง่ายและเร็ว ชีวิตก็จะไปได้ไกลมาก ๆ  โดยอัตโนมัติเองครับ… 

2) จงมีจุดแข็งให้มากพอ จนคนอื่นต้องการคุณ

ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วน 
ใคร ๆ ก็อยากจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองทั้งนั้น  “สิ่งที่มีคนต้องการ มีราคาเสมอ” 
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นคนหรือสิ่งของ  ถ้าอนาคตของบริษัทนั้นขึ้นอยู่กับเรา 
ไม่ว่าจะเป็นบริษัทของตัวเองหรือคนอื่น คนอย่างเราก็จะเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ

ซึ่งถ้ามองภาพในเชิงธุรกิจออกมา Asset  ที่ผมมองว่ามีมูลค่าสูง
ไม่ได้มีเฉพาะเงินทุนเท่านั้น 
ดังนั้น ขอให้ถืออย่างน้อย 1 ใน 3 อย่างนี้ไว้ในมือ แล้วเราจะเป็นที่ต้องการเสมอ… 

A) ตลาด   มีผู้ผลิตจำนวนมากที่ไม่เก่งด้านการทำตลาด 
แล้วตกระกำลำบากกับการปล่อยสินค้า ที่ราคาต่ำกว่าทุน 
เพื่อจะเอาเงินทุนจำนวนน้อยกว่าเดิมกลับคืนมา 
คำว่า ตลาด ในที่นี้ผมหมายถึง "ฐานลูกค้า"  
ที่พร้อมจะซื้อจากตัวเรา หรือแบรนด์ของเรา 
การกุมช่องทางจัดจำหน่าย  ก็คือการกุมตลาดนั่นแหละ 
มีอะไรก็ปล่อยออกมาหาคนที่ถือเงินได้เลย 
ยังไงผมก็เชื่อว่า การสร้างฐานแฟนที่จงรักภักดี 
คือสุดยอดแห่งแผนการตลาดเสมอครับ… 

B) เทคโนโลยีหรือนวัตกรรม
โลกถูกพลิกประวัติศาสตร์ขึ้นเป็นหน้าใหม่ด้วยเทคโนโลยีเสมอ 
ซึ่งทุกวันนี้เราอาจจะพูดถึงคำว่า นวัตกรรมมากกว่า 
แต่จะอันไหนก็ช่าง เราถือเทคโนโลยี  หรือนวัตกรรมก็เท่ากับว่าเราถือสินค้า 
และบริการที่ยอดเยี่ยมเอาไว้…  และสินค้าที่ยอดเยี่ยมในนิยามของผม 
มันคือสินค้าที่ขายง่าย  เพราะมันตอบโจทย์ลูกค้าในราคาที่ดี 
ผมอยากให้ลองโฟกัสข้อนี้ดูบ้าง  อย่าคิดจะขายสินค้าแบบชั้นเดียว 
คือสินค้าทั่วไปที่ใครก็คิดได้ 
โลกแห่งโอกาสเปิดให้ทุกคนเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือแบรนด์ได้ง่าย
และนั่นแปลว่าคู่แข่งจะเกิดขึ้นมารุมฉีกเราเป็นชิ้น ๆ ได้ง่ายเช่นกันครับ… 
ขอโน้ตไว้ตรงนี้อีกรอบว่า  

สินค้าที่โดดเด่นจะปกป้องตัวมันเองจากคู่แข่งเสมอครับ 

C) เงินทุน เพราะแน่นอนว่าเงินทุนที่มากพอ
สามารถซื้อ 2 ข้อแรกได้ทั้งหมด 
หรือซื้อบุคคลที่มี 2 ข้อแรกได้ทั้งหมด… 
แต่เงินก็ต้องการผู้ใช้ที่ฉลาดเสมอ
แหล่งเงินทุนที่เราควรจะเลือกเอาต้องเป็น Smart Money 
เงินทุนที่มาพร้อมกับ “ศักยภาพ”  ที่จะช่วยเหลือเราในด้านอื่น ๆ 
คอยเชื่อมต่อจิ๊กซอว์ในข้อ 1  ที่เราต้องการทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน 
เงินทุนนั้นหาไม่ยากหรอกครับ  แต่การหา ‘เงินทุนแบบคุณภาพ’ มันไม่ง่ายเลย 
ต้องเลือกให้ดี ไม่งั้นเมื่องับไปแล้ว จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก 
ทุกข์ทรมานแบบไม่คาดคิดเลยละครับ… 

3) เปิดประตูทิ้งไว้ “กว้าง ๆ” เสมอ 

ผมไม่ได้เป็นแฟนคลับของการคิดบวก ผมชอบโฟกัสที่ “อะไรก็ได้”
ที่จะพาเราไปข้างหน้า  อย่าง “ปัญหา” เอง ผมก็ชอบคิดถึงมันครับ
เพราะผมจะหาวิธีกำจัดมันให้มากที่สุด เป็นระยะ ๆ ตามขั้นตอนที่เราเดินมาถึง 
เพราะเมื่อถึงเวลาออกตัวจะได้พุ่งไปข้างหน้าแบบยาว ๆ 
ไม่ต้องเบรกให้หัวทิ่มหลาย ๆ รอบ 
แต่ข้อดีของการคิดบวกก็คือ  มันชักจูงให้เรา “ลองลงมือ” ทำไปก่อน 
เพราะเมื่อพอโตขึ้นเราก็รู้สึกว่า  โลกของนิยายกับโลกแห่งความจริงมันไม่เหมือนกัน 
ก็มีหลาย ๆ อย่างที่เป็นไปไม่ได้จริงบนโลกใบนี้

แต่ว่า... มันก็เป็นการเสียโอกาสมากเกินไป 

ถ้าเรากลัวที่จะถามว่า “ทำยังไงมันถึงจะเป็นไปได้จริง ?” 
ทุกครั้งที่มีเสียงผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะจากคนอื่นหรือตัวเองก็ตาม
เมื่อได้ยินว่า “มันเป็นไปไม่ได้หรอก” 
ให้ลองเปลี่ยนคำถามโดยไม่มีเงื่อนไข 
ให้ถามตัวเองว่า “เราจะต้องทำยังไงมันถึงจะเป็นไปได้จริง ?”
ขนาดดาวอังคารเอง ก็ยังมีคนบางคนพยายามพามนุษย์โลกไปอาศัยที่นั่นเลย… 

เมื่อเราตั้งคำถามใหม่ทางก็จะเปิด แสงจะเริ่มสาดเข้ามาให้เห็นกิโลเมตรถัดไป 
แต่ถ้าสิ่งนั้นไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยความสามารถของเรา  (แค่ ณ ตอนนี้) 
มันก็จะสอนเราให้เก่งขึ้นอยู่ดีครับ… 

ขอให้ทุกคนโชคดี  ได้ใช้ชีวิตแบบที่อยากเป็นเหมือนผม 
“ชีวิตง่าย ๆ อยากทำอะไรก็ทำ อยากจะเลิกอะไรก็เลิกทำได้” 

แต่ก็เอาตัวเองรอดจนได้ทุกครั้งไป ชีวิตของเราอาจจะไม่ได้สวยงามอย่างคนอื่นเค้า
เราถูกวางให้วิ่งคนละลู่  คนละตำแหน่งกัน 

แต่ชีวิตในแบบของตัวเองนั้น “น่าอยู่ที่สุด” อย่างแน่นอนครับ