
จุดเด่นของระบบตัวแทนออนไลน์
-มีการกระจายตัวที่ไว
เพราะแต่ละคนก็มี
connection
และลูกค้าของตัวเอง
สินค้าถูกกระจายไปยังหน้าร้านทั่วประเทศ
โดยไม่ต้องตอกเสาเข็มสักแท่ง
-มีคนช่วยโปรโมทสินค้าคุณด้วย
ไอเดียจากสมองนับ 1,000 หัว
ลูกค้าจะได้เห็นคนจำนวนมาก
พูดถึงสินค้าของคุณ
ไม่ได้แค่ออกจากปากแบรนด์เท่านั้น
-ไม่มีขอบเขตในการทำตลาด
แล้วแต่ความถนัด
แล้วแต่การวางทิศทางของแบรนด์

กลไกการเติบโต
#แบรนด์ตัวแทนจะเติบโตจากอะไรได้บ้าง ?
#Rising star ตัวแทนดาวรุ่ง
ต้องบอกว่าไม่ใช่ตัวแทนทุกคน
ที่จะเข้ามาแล้วทำยอดขายได้สูง
ๆ
บางคนเข้ามาขายเพื่อเป็นรายได้เสริม
บางคนเข้ามาเพื่อทำเป็นรายได้หลัก
บางคนเข้ามาแล้วเปลี่ยนฐานะได้ด้วยการเป็นตัวแทน
ตัวแทนที่เก่งและเหมาะกับแบรนด์
แค่ 20%
ของแบรนด์
คือกลุ่มคนที่สร้างยอดขาย
เกือบทั้งหมดของแบรนด์
(ตามกฎ
80 :
20
หรือ
Pareto’s law)
ดังนั้นการค้นหา
“ตัวแทนดาวรุ่ง”
และบ่มเพาะให้เป็น
“ตัวแทนมือทอง”
อย่างต่อเนื่อง
จะทำให้แบรนด์เติบโตได้จริง
และยั่งยืน
#สัดส่วนการขายปลีกและขายส่ง
แบรนด์ที่มีการปั๊มการขายส่ง
ขยายตัวแทนหนัก
ๆ
จะทำให้ยอดขายในช่วงแรก
เติบโตมหาศาล
แต่ต้องระวังให้ดี
สินค้าทุกชิ้น
ควรตกไปถึงมือลูกค้าตัวจริง
และถูกบริโภค
มันถึงจะหายจากตลาด
และทำให้ทั้งตัวแบรนด์
...
จนถึงตัวแทนจำหน่ายรายเล็กได้กำไรจริง
ๆ
หาคนขาย
อย่าลืมหาทางปล่อยสินค้า
ไม่งั้นตัวแทนรายเล็ก
ก็จะสูญพันธ์ไปเรื่อย
ๆ
#ชนิดสินค้าในแบรนด์
สินค้าต่างชนิดจะนำตัวแทนใหม่
ๆ
เข้ามา
เพราะทุกคนมีแบรนด์ที่ตัวเองเลือกใช้
และแบรนด์ที่ตัวเองเลือกขาย
การเพิ่มสินค้า
line up ใหม่
ๆ
จะทำให้มีตัวแทนเพิ่มมากขึ้น
A) CEO ’s personal branding
การร่วมลงเรือเดียวกัน
ต้องการความเชื่อมั่น
ว่าเรือลำนี้เป็นเรือยอร์ช
ไม่ใช่เรือหางยาว
ยิ่งเชื่อมั่นเยอะก็กล้าสต๊อคเยอะ
ยิ่งสต๊อคเยอะต้องอาศัยเวลาในการขายนาน
แบรนด์นี้จะอยู่ยาวไหม
หรือเราจะเสียโอกาสในการไปขายแบรนด์อื่น
ๆ
B) การพัฒนาทักษะตัวแทนจำหน่าย
กระแสของแพลตฟอร์มเปลี่ยนทุก 2-3 ปี
ถ้าเราจับตลาดไม่ทัน
“ตกรถ”
ในช่วง
Organic post การมองเห็นสูง
ค่าโฆษณายังถูกและเป็นมิตร
การตกรถ
เช่นช้าไปเพียง 3-6 เดือน
เราก็อาจจะจะมี
“ต้นทุนการตลาด”
ที่สูงกว่าแบรนด์ที่หูตาไว
อย่างน้อย 30-
300%
อย่างแบรนด์ชั้นนำในโลกออนไลน์
จะขยับตัวเร็วกว่าแบรนด์อื่น
ๆ
ถึง 6-12 เดือนเป็นอย่างต่ำ
นั่นเป็นเหตุผลที่เค้าเป็นผู้นำอยู่เสมอ
C)การเลือกจับคู่สินค้ากับแพลตฟอร์ม
ถ้าคุณมีงบการตลาดจำกัด
ซึ่งทุกแบรนด์ต่อให้ยอดขายพันล้าน
ก็มีงบการตลาดจำกัดอยู่ดี
ในขั้นตอนที่เราคิดค้นสินค้า
เราต้องคิดค้นกลยุทธ์การตลาดไปด้วย
แพลตฟอร์มไหมที่ทำให้สินค้าเราได้เปรียบ
แล้วเราก็ทุ่มการตลาดไปตรงนั้น
กระแสตลาดกับการเก็บเกี่ยวลูกค้า
ก็จะไปด้วยกันแบบไม่เสียเปล่า

แบรนด์ตัวแทนจำหน่ายเหมาะกับใครบ้าง
?
#เจ้าของแบรนด์
ที่มีความสามารถในการจัดการเรื่อง
“คน”
แบรนด์สินค้าตัวแทน
ที่มี
Distributor modelเป็นแก่นกลาง
ตัวแบรนด์ไม่ได้เชื่อมต่อกับ
Consumer
ทั้่งหมดโดยตรง
ผลลัพธ์ของยอดขายจึงเกิดจาก
การบริหาร
Distributor
ซึ่งหลาย
ๆ
คนที่เคยเป็นหัวหน้างาน
หรือเป็นเจ้าของธุรกิจก็จะรู้อยู่แล้วว่า
ยิ่งจำนวนคนเยอะ
ปัญหาก็จะตามมา
แต่ข้อดีก็คือเรามีสมอง
ในการคิดคอนเทนต์จากคน
ๆ
ไม่กี่คน
เป็นหลักร้อย
หลักพันตามจำนวนตัวแทนนั่นเอง
ซึ่งการทำคอนเทนต์
จากจำนวนคนเยอะๆ
ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
คิดให้หัวระเบิดจากคนไม่กี่คนอยู่แล้ว
#แบรนด์ทีทำสินค้า High profit
การแบ่งกำไรให้กับคนขายเป็นเรื่องพื้นฐาน
ทั้งในระบบของการจ้างพนักงานขาย
แต่กับตัวแทนจำหน่าย
ตัวแทนมีอิสระในการช้อปปิ้ง
แบรนด์ที่เค้าอยากจะขาย
ซึ่งอัตราส่วนของกำไรก็เป็นส่วนนึง
จำนวนชิ้นที่ขายออกต่อเดือน
ก็เป็นปัจจัยคำนวณไปด้วย
#แบรนด์ที่แบ่งแยก
การจัดจำหน่ายสินค้าชัดเจน
จัดจำหน่ายในห้าง vs จัดจำหน่ายตัวแทน