- วันนี้คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด
- เรียนรู้ที่จะยอมรับ เเละจัดการกับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
- หลีกเลี่ยงที่จะกังวลเกี่ยวกับอดีต เเละอนาคต “อยู่กับปัจจุบัน” เพื่อที่คุณจะได้ให้ความสนใจกับปัจจุบัน เเล้วดูว่าวันนี้คุณสามารถทำอะไรได้บ้าง
- นำความผิดพลาดในอดีตไว้ด้านหลัง เเล้วก้าวต่อไปข้างหน้า
- เมื่อไหร่ที่คุณกังวล คุณจะอ่อนไหว เเละวิตกกังวล ซึ่งจะส่งผลต่อร่างกายของคุณ เเละอันตรายต่อสุขภาพของคุณเองด้วย
- คุณจะมีความกังวลลดลง หากคุณสามารถวิเคราะห์ปัญหาของคุณ เเละรู้ว่าคุณจะทำอะไรกับมันได้บ้าง
- ทำตัวให้ยุ่งกับอย่างอื่นที่มีประโยชน์ วิธีนี้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก เพราะร่างกายคนเรา สมองคนเราไม่สามารถที่จะคิดเรื่องอื่นได้หลาย ๆ เรื่องในเวลาเดียวกัน
- อย่ากังวลกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ
- เปลี่ยนทัศนคติของคุณเเละพยายามมองโลกในเเง่บวก
- ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณควรจะเป็นตัวของคุณเอง เเละอย่าพยายามที่จะเลียนเเบบหรือเป็นเหมือนคนอื่น ๆ
เดลล์ คาร์กี เชื่อในหนังสือเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาที่จะไม่เกิดขึ้นกับคุณ คาร์กีได้บอกวิธีการเพื่อที่จะช่วยให้คุณลดความกังวล เค้าเริ่มร่างคร่าว ๆ จากสิ่งที่เรารู้อยู่เเล้ว จากบุคคลที่สามารถเข้าถึงความสงบ เเละความสุข เเละจากข้อมูลต่าง ๆ ที่มาจากนักปรัชญา หัวหน้าการทำธุรกิจ เเละอื่น ๆ ถึงเเม้ว่าคาร์กีจะเขียนหนังสือเล่มนี้ในปี 1940 เเละตัวอย่างบางอันของเค้าก็จะอยู่ในช่วงปี 1940 เเต่ในเชิงทฤษฏีของเค้านั้นสามารถใช้ได้เรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันหมดอายุ หรือจริง ๆ เเล้วมันออกจะล่วงหน้าซะด้วยซ้ำ เค้านำเสนอข้อมูลเหล่านี้ในวิธีที่ง่ายต่อการอ่าน เค้าเริ่มจากการพูดถึงประสบการณ์ของเรา เเละของคนอื่น ๆ เพื่อที่จะเเสดงจำนวนเทคนิคของเค้าเพื่อที่จะปล่อยความกังวลให้ไกลออกไป เเละทำให้มันมีความสุขมากยิ่งขึ้น หรือทำให้มันมีประโยชน์มากขึ้น Get Abstract เเนะนำต้นเเบบการพัฒนาตนเองเเบบนี้ให้กับทุก ๆ คน
สรุป
หยุดความกังวลในอดีตเเละในอนาคต
หากคุณต้องการที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลทุกอย่างในหนังสือเล่มนี้ คุณควรที่จะทบทวนทฤษฎีต่าง ๆ เเละคิดว่าคุณจะใช้ทฤษฎีดังกล่าวได้อย่างไร เเละใช้มันเมื่อคุณมีโอกาส คุณอาจจะจดไดอารีว่าวันนี้คุณใช้มันเเละใช้มันอย่างไร? เเละคุณอาจจะเเสดงพัฒนาการของคุณอย่างต่อเองจากไดอารีที่คุณได้จดไว้ คุณควรที่จะพิจารณาหนทางที่จะพัฒนาองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยคุณลดความกังวลเเละช่วยให้คุณใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น รวมถึงเก็บอดีตไว้ในส่วนของอดีต เเละมุ่งความสนใจไปที่ปัจจุบัน หลายครั้งที่คุณกังวล นั่นเป็นเพราะคุณคิดถึงอดีตเเละโทษตัวเองว่าอะไรที่คุณทำผิดพลาดไป อย่างไรก็ตาม หากคุณสามารถทำตามกฎเหล่านี้ คุณจะสามารถกำจัดความกังวลได้มากมาย จากที่คนเขียน โทมัส คาร์รี ได้กล่าวไว้ว่า “หน้าที่หลักของเราไม่ใช่การมองอะไรที่มันไม่ชัดจากที่ไกล ๆ เเต่คุณจะต้องทำในสิ่งที่เป็นไปได้ เเละใกล้ตัว”
อย่าที่จะกังวลกับสิ่งที่มันยังมาไม่ถึง เพราะการคิดถึงอนาคตนั้นอาจจะเป็นอีกหนึ่งเเหล่งที่มาของความกังวล ในขณะที่มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะวางเเผนเกี่ยวกับอนาคต เเละการพัฒนาในอนาคต อย่าไปกังวลกับมัน คุณจะต้องตระหนักว่า การคิดดีก็จะส่งผลดีต่อตัวคุณเอง “สาเหตุเเละผลที่ตามมาจะนำคุณไปสู่การวางเเผนที่มีเหตุผล
คุณควรจะมุ่งความสนใจของคุณไปที่ปัจจุบัน เเละสิ่งที่คุณสามารถทำได้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความกังวล ไม่ว่าจะในอดีต หรือในอนาคต คุณจะต้องอยู่กับปัจจุบันที่เป็นตอนนี้เเละที่นี่ เเละคุณควรที่จะปิดประตูต่ออดีตเเละอนาคต เเละคิดซะว่า “วันนี้เป็นวันที่มีคุณค่ามากที่สุด เพราะมันเป็นสิ่งที่เราสามารถให้ความมั่นใจได้มากที่สุด”
พิจารณาในสิ่งที่เเย่ที่สุดที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ เเละคุณจะต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมัน อีกหนทางหนึ่งที่จะหลีกเลี่ยงความกังวลได้คือ คุณจะต้องวิเคราะห์สถานการณ์ของคุณ เเละมองหาจุดที่เเย่ที่สุดที่มันสามารถจะเเย่ได้ เเละหลังจากนั้นคุณจะต้องเตรียมพร้อมที่จะยอมรับมัน หากจำเป็นต้องยอมรับจริง ๆ ในขณะเดียวกันคุณควรจะมุ่งจุดสนใจไปยังการพัฒนาในจุดที่เเย่ที่สุด ซึ่งเป็นจุดที่คุณเพิ่งจะยอมรับมันตามที่กล่าวไว้ข้างต้น วิธีข้างต้นประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก เพราะมันจะเป็นการปลดปล่อยพลังทางจิตวิทยา เพราะเมื่อคุณสามารถยอมรับในจุดที่เเย่ที่สุดได้ นั่นหมายความว่าคุณไม่มีอะไรจะเสียอีกเเล้ว นั่นหมายความว่า คุณมีทุกอย่างเพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เริ่มจากการยอมรับตนเอง การตระหนักรู้ถึงสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณมีความกังวลน้อยลง ทำในสิ่งที่คุณสามารถพัฒนาตนเองต่อสถานการณ์นั้น ๆ เเละเดินไปข้างหน้าต่อไป
คุณสามารถที่จะลดความความกังวล โดยการตระหนักถึงความอันตรายของความกังวลนั้น ๆ ต้นเหตุเเห่งความกังวลมาจากความกลัว เพราะเมื่อคุณกังวลคุณจะอ่อนไหวง่ายเเละระเเวง ดังนั้น ความกังวลจะส่งผลกระทบต่อร่างกายเเละจิตใจของคุณ มันสามารถที่จะทำให้คุณเจ็บป่วยได้ เมโยคลินิกได้กล่าวไว้ว่า สามส่วนของนักธุรกิจที่มีอายุ 44 ปี ได้เจ็บป่วยจากสามอย่างหลัก ๆ คือ ความดันสูง โรคหัวใจ เเละความเครียด ความดันโลหิต ดังนั้น ความกังวลจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายคุณเเละจะส่งผลต่อสุขภาพ คุณจะต้องเตือนตัวเองว่าความกังวจะส่งผลกระทบอะไรต่อคุณบ้าง เเละชีวิตคุณจะยืนยาวขึ้นเมื่อคุณกังวลน้อยลง
รู้ความจริงเเล้วตัดสินใจว่าคุณจะต้องทำอะไร
คุณจะมีความกังวลน้อยลงหากคุณสามารถวิเคราะห์ปัญหาของคุณได้ เพราะคุณจะสามารถที่เเก้ปัญหาดังกล่าวได้ ขั้นตอนแรก คือ เรารู้ความจริง เพราะมันจะทำให้คุณสามารถเเก้ไขปัญหาได้อย่างชาญฉลาด หากคุณไม่รู้เเละไม่สามารถเข้าถึงความจริงได้ คุณจะวนเวียนอยู่บทความสับสน งงงวย ในทางกลับกัน หากคุณได้รับความจริงที่มาได้โดยความยุติธรรม ความกังวลของคุณก็จะจางหายไปด้วย
หนทางหนึ่งที่จะได้รับข้อมูลที่เป็นจริงโดยไม่บิดเบือน คือ ให้คุณคิดว่าคุณกำลังเก็บข้อมูลสำหรับคนอื่นอยู่ เพราะคุณจะไม่ใส่อารมณ์ของคุณลงไปในข้อมูลนั้น ๆ พยายามที่จะหาข้อมูลจากทั้งสองฝ่าย ยกตัวอย่างเช่น นักกฎหมายจะนำข้อมูลมาทำให้เคสของเค้านั้นมาดูจุดเเข็งเเละจุดด้อย อีกทั้งมันยังช่วยที่จะทำให้คุณสามารถเขียนลงไปได้ว่าจริง ๆ เเล้วคุณมีความกังวลด้านไหน เเละดูว่าสิ่งไหนที่คุณสามารถทำได้ในตอนนี้ เเละตัดสินใจว่าจะทำอันไหน หลังจากนั้นคุณจะได้เริ่มที่จะลงมือทำได้
ให้ลูกจ้างของคุณใช้วิธีการนี้ เพื่อที่จะลดปัญหาที่พวกเค้านำมาให้คุณได้ เช่น ก่อนที่คุณจะประชุมปัญหาเพื่อเเก้ไขนั้น คุณควรจะให้ลูกจ้างเเต่ละคน วิเคราะห์ปัญหาในข้อมูลของตัวเอง เเละหนทางการเเก้ไข พวกเค้าต้องถามตัวเค้าเอง
1. ปัญหาคืออะไร?
2. สาเหตุเกิดจากอะไร?
3. เเล้วมีหนทางเเก้ไขอย่างไรบ้าง?
4. หนทางเเก้ไขอะไรที่ตัวเค้าเเนะนำ?
ส่วนมากเเล้วหลังจากที่ลูกจ้างทำตามข้อต่อไปนี้ พวกเค้าจะมองเห็นหนทางการเเก้ไขปัญหาด้วยตนเอง เเละพวกเค้าก็จะไม่ต้องการที่จะเข้ามาพบคุณเพื่อสอบถามหนทางการเเก้ไขปัญหานั้น ๆ
วิธีการที่จะกำจัดนิสัยความกังวล
คุณจะลบความกังวลในใจของคุณได้โดยการหาอะไรทำให้มันยุ่ง ๆ เพราะสมองของมนุษย์เราไม่สามารถคิดอะไรได้มากกว่าหนึ่งเรื่องในเวลาเดียวกัน เหมือนกับคุณไม่สามารถที่จะตื่นเต้นหรือกระตือรือร้นที่จะทำอะไรในขณะที่ใจของคุณยังกังวล คิดเรื่องที่คุณชอบที่จะทำ เเละมันจะทำให้คุณสามารถลดความกังวลลงไปได้ ในทฤษฎีนี้บอกว่าทำไมคนที่ทำงานตลอดเวลา หรือทำให้ตัวเองยุ่ง ๆ นั้นเป็นการรักษาที่ดีสำหรับคนที่มีความกังวล เพราะว่ามันนำความกังวลออกไปจากจิตใจเค้า ดังนั้น คุณควรที่จะทำตัวให้ยุ่ง ๆ เพื่อที่จะลดความกังวลของตัวคุณเอง
อย่าให้ตัวเองไปเป็นกังวลกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะคุณจะเสียเวลากังวลเรื่องเล็ก ๆ ไปเปล่า ๆ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้บางทีมันไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเรามากนัก หากคุณต้องการความสงบในจิตใจ อย่าเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆมาใส่ใจ มองข้ามมันไปเหมือนที่กฎเค้าได้บอกไว้ เหมือนในเชิงกฎหมายที่บอกว่า กฎหมายไม่ได้ใส่ใจในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ คุณจะต้องเปลี่ยนจุดสนใจเพื่อที่คุณจะได้เอาเวลาไปสนใจในสิ่งที่สำคัญกว่า อย่าปล่อยให้ตัวของคุณเองคิดมากกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เเต่คุณควรที่จะปล่อยมันไป เเละลืมมันซะ เเล้วจำไว้อย่างนึงว่าชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตเเบบเล็ก ๆ หรืออาจหมายถึง การใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ อย่าเสียเวลากับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ
ระลึกถึงตรงนี้ไว้ เเละนำมันไปตั้งเป็นหลักเเละค่าเฉลี่ยของความน่าจะเป็น ความกังวลของคุณนั้นมีเหตุผลเพียงน้อยนิด จากกฎดังกล่าวด้านบนจะช่วยให้คุณมีความกังวลที่น้อยลง เพราะคุณจะรู้ว่าสิ่งที่คุณกำลังกังวลนั้นมันจะไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น “เกือบทั้งหมดของความกังวลของเรา เเละความไม่มีความสุขของเรา มาจากจินตนาการ เเละไม่ได้มากจากพื้นฐานของความเป็นจริง” คุณจะต้องตั้งตัวเองอยู่บนกฎเเห่งความจริง เพื่อที่ว่า เวลาที่คุณจะกังวลอะไรนั้น มันจะขึ้นอยู่กับความเป็นจริงเสมอ จากกฎข้างต้นคุณควรจะถามตัวคุณเองว่าอะไรที่มีความเป็นไปได้ หากไม่ คุณก็ไม่ควรที่จะให้ความกังวลกับจุดนั้น เเต่หากอะไรที่มันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นคุณจะไม่ควรที่จะไปกังวลกับมัน
คุณจะต้องให้ความร่วมมือกับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันไม่ได้จำเป็นเลยว่าเราต้องสู้กับอะไรที่มันเเน่นอนว่ามันจะเกิด เเต่คุณจะต้องเตรียมรับมือกับอะไรที่มันยังไม่เกิด เเละอาจจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เเล้วคุณจะต้องรับมือจากตรงนั้นเเล้วทำมันให้ดีที่สุด เพราะถ้าคุณสู้กับมันคุณจะโกรธมันโดยที่ไม่มีเหตุผล คุณควรที่จะทำให้เต็มที่ เพื่อที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ เเต่ถ้าหากคุณทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ปล่อยมันไป เเล้วเดินไปข้างหน้า
คุณควรจะมีลิมิตในการยับยั้งความกังวลของคุณ คุณสามารถที่จะนำทฤษฎีในทางตลาดหุ้นมาลดความกังวลของคุณได้ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณวางเเผนที่จะพบใครสักคน เเล้วเค้ามาสาย อย่ารอ เเล้วกังวลใจ เเต่คุณควรที่จะบอกเค้าตรง ๆ ไปเลยว่าคุณจะรอจนถึงเวลาเท่านี้นะ หากเค้าไม่มาคุณก็จะกลับเลย ความยับยั้งตรงนั้นจะช่วยให้คุณรู้จักว่าคุณจะใช้เวลาในการทำอะไรได้มากน้อยเเค่ไหน หลังจากจุดนั้นคุณไม่ควรที่จะเสียเวลากับมัน
อย่าพยายามที่จะมองเห็นขี้เลื่อย นี่คือวิธีการที่จะทำให้คุณนำความผิดพลาดในอดีตมาเเล้วก้าวผ่านมันไปให้ได้ เเละคุณจะต้องวิเคราะห์ความผิดพลาดในอดีตของคุณ เเล้วเรียนรู้จากมัน เเต่อย่าที่จะอยู่กับมันเเละเสียใจในสิ่งที่ทำไม่ได้ อันนี้มันคือทฤษฎีเดียวกันกับ “อย่าร้องไห้เวลานมหก” ถ้าหากคุณเสียใจหรือร้องไห้กับสิ่งที่ผิดพลาดที่ผ่านมาเเล้วนั้น หมายถึงคุณพยายามที่จะมองหาขี้เลื่อย และนั่นมันคือการเสียเวลา
หนทางที่จะเปลี่ยนทัศนคติของคุณ
นอกเหนือจากการที่คุณจะทำตามขั้นตอนนั้น ๆ เเล้ว อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือคุณจะต้องเปลี่ยนทัศนคติของตัวคุณเองด้วย เพราะว่า “ความคิดของคุณนั่นเเหละที่จะทำให้คุณเป็นเเบบนั้น” ดังนั้น การที่เราจะเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่เราอยากจะเป็นนั้น เเละต้องการที่จะลดความกังวลลงนั้น คุณต้องการความคิดที่ดี ที่ถูก นั่นหมายความว่าคุณควรที่จะมีทัศนคติที่ดี ไม่ใช่มองโลกในเเง่ลบ คุณจะต้องให้ความสนใจกับปัญหาของคุณ เเต่จะต้องไม่เป็นกังวลเกี่ยวกับปัญหานั้น ๆ ใช้ทัศนคติที่ดีของคุณนำพาคุณไปยังการกระทำที่ดี ที่มีประโยชน์ เเล้วนำความคิดเหล่านั้นไปเเก้ไขปัญหา
การที่เรามองโลกในเเง่บวกนั้น สามารถเปลี่ยนอะไร ๆ ได้หลายอย่างมาก ๆ คุณจะสามารถกำจัดความกังวล ความกลัว เเละความเจ็บป่วยทางจิตใจได้หลายทิศทาง ความสำคัญของการมองโลกในเเง่บวกยังได้กล่าวไว้ใน ไบเบิล ว่า “การที่คนเราคิดอะไรออกมาจากหัวใจของเรามันทำให้เค้าเป็นคนเเบบนั้น”
มันอาจจะยากที่จะเปลี่ยนความรู้สึก เเละอารมณ์ของคุณเอง โดยการคิดว่าคุณอยากจะทำมัน อย่างไรก็ตามคุณสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมของคุณเอง เพราะการกระทำเหล่านั้นจะถูกคั้นออกมาจากความรู้สึกของคุณ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเเสดงออกว่าคุณมีความสุขมาก ๆ คุณก็จะมีความสุขมาก ๆ เพราะมันเเทบจะเป็นไปไม่ได้เลยว่า หากคุณทำท่าเสียใจเศร้าใจ เเต่จริง ๆ เเล้วคุณมีความสุขมาก ๆ หรือจะให้พูดอีกคำคือ “คิดเเละเเสดงออกอย่างมีความสุข เพราะนั่นจะทำให้คุณมีความสุข”
วิธีการที่จะทำให้คุณมีทัศนคติที่ดี ดังต่อไปนี้
- อย่าคิดที่จะคิดเเก้เเค้น หากใครสักคนมาทำไม่ดีกับคุณ เพราะถ้าคุณเกลียดศัตรูของคุณเอง นั่นหมายความว่า คุณให้อำนาจเเก่พวกเค้า เพราะฉะนั้น คุณจงเอาพวกเค้าออกไปจากลิสต์ เเละอย่าไปสนใจพวกเค้า กัปตัน ไอเซนฮาวท์ ได้กล่าวไว้ว่า “อย่าที่จะเสียเวลาเพียงสักนาทีเดียว คิดถึงคนที่เราไม่ชอบ”
- พยายามอย่าคาดหวังที่จะได้รับความขอบคุณ เพราะคนเราชอบลืมที่จะรู้สึกขอบคุณ อีกทั้งคุณจะรู้สึกประหลาดใจมากซะกว่า หากคุณไม่ได้คาดหวังให้เค้าขอบคุณ เเต่เค้ามาขอบคุณด้วยตัวเค้าเอง ดังนั้น คุณควรจะมีความสุขในการเป็นผู้ให้
- นับความสุขของคุณ ไม่ใช่นับความทุกข์ หรือปัญหา หมายความว่าคุณควรจะให้ความสนใจไปยังความสุข ความดีงามในชีวิตของคุณ มากไปกว่าการที่คุณมานั่งจมปลักอยู่กับปัญหา หรือสิ่งที่พลาด คุณจะเห็นได้ว่า 90% ของชีวิตคุณนั้นเป็นไปได้ด้วยดี คุณควรจะให้ความสนใจต่อ 90% นั้น ๆ มากกว่าการที่จะมานั่งกังวลกับ 10% ที่เหลือ
- เจาะจงเเละให้ความใส่ใจในสิ่งที่คุณเป็นมากไปกว่าการที่คุณพยายามที่จะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวคุณเอง เพราะทุกคนมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณควรจะเป็นตัวของตัวเอง อย่าพยามยามที่จะลอกเลียนเเบบคนอื่น ๆ คุณจะต้องหาตัวคุณเองเเละเป็นตัวของตัวเอง
- สวดมนต์ หรือเชื่อตามศาสนา ซึ่งเเต่ละคนก็อาจจะเเตกต่างกันออกไป ใช้ศาสนาเพื่อที่จะเป็นเเรงจูงใจ การสวดมนต์จะเป็นตัวช่วยทำให้จิตใจคุณสงบเเละขจัดอะไรที่คุณไม่ชอบออกไป เเละมันยังทำให้คุณรู้สึกเบาใจว่าคุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เหมือนการใช้ศาสนาเป็นที่พึ่งพาทางจิตใจ เพราะศาสนาจะช่วยแบ่งเบาภาระทางจิตใจ เเละทำให้คุณสามารถเเก้ไขปัญหาได้
หากคุณมีเลมอน ทำน้ำเลมอนซะ หรือพูดอีกเเง่หนึ่งคือ พิจารณาบทเรียนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เเละเรียนรู้ในสิ่งที่ผิดพลาด หรือความโชคร้ายนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ที่ดินของชาวนาถูกรุกล้ำด้วยงู เเละชาวนาค้นพบว่า การที่เค้านำเนื้อของงูมาใส่ขวดขายนั้น ทำให้เค้าสามารถขายของที่เป็นเอกลักษณ์ได้ เค้าเลยพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ว่าคุณจะสามารถทำกำไรจากความขาดทุนของคุณได้อย่างไร? คนส่วนมากที่เริ่มต้นจากศูนย์นั้นจะถูกผลักดันจากเเรงกระตุ้น เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมาย เพราะเขาสามารถก้าวผ่านอุปสรรคตรงจุดนั้นได้