สินค้าเป็นเสาหลักของธุรกิจ
ธุรกิจจะเกิดกำไรหรือไม่ได้อะไรเลย
อยู่ที่คุณภาพของสินค้าถึง 80%
อีก 20% เป็นเรื่องของกลยุทธ์การตลาด
1. 1 สินค้า 1 จุดเด่น
จริงที่สินค้า 1 ตัวอาจจะแก้ปัญหาให้ลูกค้า
ได้หลายจุดแต่ไม่ดีแน่ถ้าคุณมัดรวม
สรรพคุณทุกอย่างไว้ในคอนเทนต์เดียว
มันเป็นจุดบอดที่ทำให้สินค้าขาดจุดเด่น
ฉะนั้นดึงเฉพาะสรรพคุณที่โดดเด่น
มาปั้นให้เป็นจุดแข็ง เช่น…
เครื่องนวดหน้าที่ใช้แล้วหน้าเด้งที่สุดต้องยี่ห้อ xxx
ครีมกำจัดขนไร้สาร ปลอดกลิ่นต้องยี่ห้อ xxx เท่านั้น
เซรั่มรักษาสิว ไม่กลับมาเป็นซ้ำ ต้องนึกถึงยี่ห้อ xxx
2. จุดบอดของคู่แข่งดึงมาเป็นจุดขายของเรา
ทุกสินค้ามีจุดบอดและจุดแข็งเป็นธรรมดา
อย่าให้จุดบอดของคู่แข่งที่เค้าไม่สนใจนั้นเสียเปล่า
ด้วยการหยิบจุดบอดนั้นมาเป็นทางเลือกที่คุณ
จะหาสินค้าที่กลบรอยรั่วนั้นได้
แล้วมาปั้นให้เป็นพระเอกของคุณแทน
3. สินค้าต้องให้อะไรกับลูกค้าเสมอ
สินค้าดี สวยสะดุดตา แต่ไม่ฟังก์ชัน
ก็ขายไม่ได้เพราะมันไม่ตอบโจทย์ลูกค้า
ยิ่งแก้ปัญหาได้ ยิ่งมีคุณค่า คุณยิ่งขายดี
เช่น สบู่เจลลี่เนื้อดี ยืดหยุ่นสูง กลิ่นหอม
แต่ลูกค้าใช้แล้วปัญหาเรื่องสิวยังอยู่ที่เดิม
อย่าเสียเวลาขายเลยฮะเพราะ
ถ้าไม่มีการซื้อซ้ำธุรกิจจะไปได้ยากเกินไป
4. สินค้าเกิดความต้องการสูงแต่มีไม่เพียงพอ
เทคนิคหาสินค้าแบบ Scarcity Marketing
สินค้าดีที่คนต้องการมากแต่ขาดแคลนเหลือเกิน
การหาสินค้าที่สร้างแรงจูงใจได้ในช่วงที่ตลาด
ต้องการมากสร้างกำไรได้มากทีเดียว
5. ตามติดความอยากของลูกค้าด้วย SEO
หาของไปขายในติ๊กต่อกต้องใช้ SEO ??
เดี๋ยวนี้คนไม่ได้ชอบเสิร์ชหาสินค้าในกูเกิลเองแล้ว
เพราะเปิด For You Feed มาก็มีมาให้เลือก
ยังมีสินค้าอีกมากที่ลูกค้าเพิ่งรู้ว่าควรต้องใช้
ก็ตอนที่เค้าเจอป้ายยาในติ๊กต่อกไปแล้ว
ฉะนั้นคุณอยากเจอสินค้าขายดี
คุณต้องศึกษาตลาดผ่าน SEO มาก่อน
ว่าผู้คนกำลังสนใจอะไร ณ ตอนนี้
มันเป็นทางลัดให้คุณเจอสินค้าที่ใช่เร็วขึ้นฮะ