วันนี้มาแจกแหล่ง "คิด CONTENT" ครับ
ที่จะเป็นเมล็ดพันธ์ให้เราไปสามารถต่อยอด
ทำเป็น Sales Content
ซึ่ง "เชื้อที่ดี" จะทำให้เกิด Sales content ที่เก่งกาจ
ทำยอดขายเห็นผลเป็นน้ำเป็นเนื้อ
เรียกว่าปิด Ads ทุกตัว ยิง CONTENT เดียว
ก็ยังทำยอดขายได้ตลอด
ดังนั้นการจะหาเชื้อที่ดี
ต้องมาจากแหล่ง CONTENT ที่นำไปปั้นต่อง่าย
วันนี้ผมมีมาเสนอทั้งหมด 6 แหล่งครับ
1 ) ปากลูกค้า (Your Customers)
ปากลูกค้าถือเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดในโลก
คำแปลก ๆ ที่เราไม่คิดว่าจะได้ยิน
คำเปรียบเทียบที่เรานึกไม่ถึง
ผลลัพธ์ดี ๆ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน
มักมาจากปากลูกค้า
และเมื่อลูกค้าถาม อย่ารำคาญ
อย่าตอบในใจว่า "อีโง่" แต่ให้ตั้งคำถามกับตัวเอง
เราผิดตรงไหนเค้าถึงถามคำถามนี้
CONTENT ไม่สมบูรณ์ตรงไหนคำถามนี้ถึงยังพบบ่อย
ขอเตือนใจสำหรับคนอยากทำค้าขายออนไลน์
มันไม่สำคัญว่าแบรนด์เราจะไฮโซหรือติดดินแค่ไหน
ถ้าคุณฟังลูกค้า คุณจะได้ฟังเสียง SMS เตือนเงินเข้าบัญชี
2 ) Product information
ถ้ากรรมวิธีเด็ดจงเอามาโชว์ให้เห็น
ความอลังการของ "คุณภาพ"
ถ้าสารที่เป็น Active Ingredients มันหาแสนยากแสนเย็น จงเอามันเล่าว่าทำไมสินค้าของเราถึงต้องใส่
แต่ถ้าคิดว่าการบริการนั้นคือสุดยอดจุดเด่น
ของฉันก็มีเหมือนร้านอื่น
แต่ส่งไวส่งไม่มั่วก็นำเสนอไปได้เลย
จริง ๆ ทุกแง่มุมของสินค้ามีรายละเอียดสำคัญ
(สำหรับลูกค้า) ซ่อนอยู่
เราสามารถดึงมันมาทำ CONTENT เล่นใหญ่
ได้อย่างต่อเนื่องเลยครับ
3 ) เรื่องชาวบ้าน (Someone else's story)
ผมขออธิบายแบบนี้แล้วกัน ทุกสินค้าจะมีศัตรูของมันอยู่
ในความหมายของผมไม่ใช่ศัตรูทางการตลาด
แต่เป็นศัตรูทางการบริโภคของลูกค้า ถ้าคุณขายเครื่องดื่มกาแฟลดน้ำหนัก มันต้องไปเบียดกาแฟปกติที่ลูกค้ากินอยู่แน่นอน
ทีนี้เรื่องชาวบ้านมันคืออะไร ก็คือความไม่ประสบความสำเร็จ หรือผลเสียที่ใช้สินค้าทั่วไป
ไม่เลือกที่เป็น Non-Chemical หรือไม่เลือกที่แบรนด์ที่มี Warranty ความเจ็บปวดที่ลูกค้าคนหนึ่งได้รับ
สามารถเกิดขึ้นกับอีกคนได้เสมอครับ มันเอามาเล่าได้ !
4 ) เรื่องของตัวเอง (Your story)
ส่วนใหญ่เจ้าของแบรนด์จะมีซัมติง
กับสินค้าที่เป็นเจ้าของไม่เรื่องใดก็เรื่องนึง
อาจจะรู้สึกว่าสินค้าในตลาดมันไม่ดีพอ
หรือสินค้ามันยังปรับปรุงได้อีก
"มันต้องเป็นแบบนี้ แบบนั้น"
เอางี้ เรื่องราวหรือการเปลี่ยนแปลงของเรา
ตั้งแต่เริ่มต้นไม่ประสีประสาจนมา
ได้พบพานสินค้าอันล้ำค่าของเรา
มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
(ปล.ใครมองการณ์ไกลก็ควรเก็บภาพไว้แต่เนิ่น ๆ นะจ้ะ)
5 ) สื่อชั้นนำในแต่ละธุรกิจ (Influencers)
เพจดัง ๆ เว็บข่าว ๆ ที่ทันสมัยหรือ "ไว"
ต่อกระแสสังคม จะมีหน้าที่อัพเดท "ปัจจุบัน"
ให้ทุกคนอ่านอยู่เสมอ
ดังนั้นสิ่งที่เราจะได้รับก็คือ
"คำที่กำลังเป็นกระแส"
ทิศทางที่สังคมกำลังตัดสิน
บางแบรนด์จะถนัดในการเล่นกับกระแสมาก
เพราะกระแสคือสิ่งที่ถูกกระตุ้นมาดีแล้ว
คนก็พร้อมที่จะตอบสนองโดยง่าย
(แต่อย่าโหนมากไปจนเกินงามนะครับ)
6 ) การนั่งเทียน (Candle thinking)
จริง ๆ เป็นวิธีที่ผมใช้บ่อยทุกคนอาจจะงงว่า
นั่งเทียนคืออะไรของแกวะ?
มันคือการเอาข้อมูลที่เก็บมาตลอดวันตลอดสัปดาห์
มาแตกประเด็น หา Pain Point หา Keyword ใหม่ ๆ
ใช้สมองของตัวเอง "ตัด ต่อ เติม แปลงคำ"
เราจะค้นพบด้วยตัวเองว่า "เอ้อ คำนี้คนยังไม่ใช้กันว่ะ"
จริง ๆ เราสามารถนึกประเด็นโดยตรงได้จากประสบการณ์
ที่เราเสพดังนั้นการที่เราอยากเป็นนักการตลาดที่เก่งกาจ
เราไม่สามารถปฎิเสธธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง
ได้อย่างไม่แยแส เรายังต้องการเรียนรู้อีกมหาศาล
กับมหาสมุทรที่เรียกว่า "การตลาด" ครับ
ที่จะเป็นเมล็ดพันธ์ให้เราไปสามารถต่อยอด
ทำเป็น Sales Content
ซึ่ง "เชื้อที่ดี" จะทำให้เกิด Sales content ที่เก่งกาจ
ทำยอดขายเห็นผลเป็นน้ำเป็นเนื้อ
เรียกว่าปิด Ads ทุกตัว ยิง CONTENT เดียว
ก็ยังทำยอดขายได้ตลอด
ดังนั้นการจะหาเชื้อที่ดี
ต้องมาจากแหล่ง CONTENT ที่นำไปปั้นต่อง่าย
วันนี้ผมมีมาเสนอทั้งหมด 6 แหล่งครับ
1 ) ปากลูกค้า (Your Customers)
ปากลูกค้าถือเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดในโลก
คำแปลก ๆ ที่เราไม่คิดว่าจะได้ยิน
คำเปรียบเทียบที่เรานึกไม่ถึง
ผลลัพธ์ดี ๆ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน
มักมาจากปากลูกค้า
และเมื่อลูกค้าถาม อย่ารำคาญ
อย่าตอบในใจว่า "อีโง่" แต่ให้ตั้งคำถามกับตัวเอง
เราผิดตรงไหนเค้าถึงถามคำถามนี้
CONTENT ไม่สมบูรณ์ตรงไหนคำถามนี้ถึงยังพบบ่อย
ขอเตือนใจสำหรับคนอยากทำค้าขายออนไลน์
มันไม่สำคัญว่าแบรนด์เราจะไฮโซหรือติดดินแค่ไหน
ถ้าคุณฟังลูกค้า คุณจะได้ฟังเสียง SMS เตือนเงินเข้าบัญชี
2 ) Product information
ถ้ากรรมวิธีเด็ดจงเอามาโชว์ให้เห็น
ความอลังการของ "คุณภาพ"
ถ้าสารที่เป็น Active Ingredients มันหาแสนยากแสนเย็น จงเอามันเล่าว่าทำไมสินค้าของเราถึงต้องใส่
แต่ถ้าคิดว่าการบริการนั้นคือสุดยอดจุดเด่น
ของฉันก็มีเหมือนร้านอื่น
แต่ส่งไวส่งไม่มั่วก็นำเสนอไปได้เลย
จริง ๆ ทุกแง่มุมของสินค้ามีรายละเอียดสำคัญ
(สำหรับลูกค้า) ซ่อนอยู่
เราสามารถดึงมันมาทำ CONTENT เล่นใหญ่
ได้อย่างต่อเนื่องเลยครับ
3 ) เรื่องชาวบ้าน (Someone else's story)
ผมขออธิบายแบบนี้แล้วกัน ทุกสินค้าจะมีศัตรูของมันอยู่
ในความหมายของผมไม่ใช่ศัตรูทางการตลาด
แต่เป็นศัตรูทางการบริโภคของลูกค้า ถ้าคุณขายเครื่องดื่มกาแฟลดน้ำหนัก มันต้องไปเบียดกาแฟปกติที่ลูกค้ากินอยู่แน่นอน
ทีนี้เรื่องชาวบ้านมันคืออะไร ก็คือความไม่ประสบความสำเร็จ หรือผลเสียที่ใช้สินค้าทั่วไป
ไม่เลือกที่เป็น Non-Chemical หรือไม่เลือกที่แบรนด์ที่มี Warranty ความเจ็บปวดที่ลูกค้าคนหนึ่งได้รับ
สามารถเกิดขึ้นกับอีกคนได้เสมอครับ มันเอามาเล่าได้ !
4 ) เรื่องของตัวเอง (Your story)
ส่วนใหญ่เจ้าของแบรนด์จะมีซัมติง
กับสินค้าที่เป็นเจ้าของไม่เรื่องใดก็เรื่องนึง
อาจจะรู้สึกว่าสินค้าในตลาดมันไม่ดีพอ
หรือสินค้ามันยังปรับปรุงได้อีก
"มันต้องเป็นแบบนี้ แบบนั้น"
เอางี้ เรื่องราวหรือการเปลี่ยนแปลงของเรา
ตั้งแต่เริ่มต้นไม่ประสีประสาจนมา
ได้พบพานสินค้าอันล้ำค่าของเรา
มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
(ปล.ใครมองการณ์ไกลก็ควรเก็บภาพไว้แต่เนิ่น ๆ นะจ้ะ)
5 ) สื่อชั้นนำในแต่ละธุรกิจ (Influencers)
เพจดัง ๆ เว็บข่าว ๆ ที่ทันสมัยหรือ "ไว"
ต่อกระแสสังคม จะมีหน้าที่อัพเดท "ปัจจุบัน"
ให้ทุกคนอ่านอยู่เสมอ
ดังนั้นสิ่งที่เราจะได้รับก็คือ
"คำที่กำลังเป็นกระแส"
ทิศทางที่สังคมกำลังตัดสิน
บางแบรนด์จะถนัดในการเล่นกับกระแสมาก
เพราะกระแสคือสิ่งที่ถูกกระตุ้นมาดีแล้ว
คนก็พร้อมที่จะตอบสนองโดยง่าย
(แต่อย่าโหนมากไปจนเกินงามนะครับ)
6 ) การนั่งเทียน (Candle thinking)
จริง ๆ เป็นวิธีที่ผมใช้บ่อยทุกคนอาจจะงงว่า
นั่งเทียนคืออะไรของแกวะ?
มันคือการเอาข้อมูลที่เก็บมาตลอดวันตลอดสัปดาห์
มาแตกประเด็น หา Pain Point หา Keyword ใหม่ ๆ
ใช้สมองของตัวเอง "ตัด ต่อ เติม แปลงคำ"
เราจะค้นพบด้วยตัวเองว่า "เอ้อ คำนี้คนยังไม่ใช้กันว่ะ"
จริง ๆ เราสามารถนึกประเด็นโดยตรงได้จากประสบการณ์
ที่เราเสพดังนั้นการที่เราอยากเป็นนักการตลาดที่เก่งกาจ
เราไม่สามารถปฎิเสธธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง
ได้อย่างไม่แยแส เรายังต้องการเรียนรู้อีกมหาศาล
กับมหาสมุทรที่เรียกว่า "การตลาด" ครับ