อยากได้แต่ “คนมีแวว” มาเป็นตัวแทน
จะไปหาได้จากที่ไหน ?
เรื่องนี้ผมคงไม่สามารถปักหมุดลงไป
แบบ Google Map ได้จริง ๆ ครับ
ว่าเป็นที่ไหน
แต่ผมให้คำตอบคุณได้
ว่าต้องทำยังไง คนแบบที่คุณหมายตา
จะเป็นฝ่ายมาหาคุณเอง
ที่คุณจะกลายเป็นแม่เหล็ก
ดึงดูดแต่คนหัวกะทิเข้ามาร่วมทีม
คัดคนที่มีหน่วยก้านดี ความคิดมีอนาคต
อยากพัฒนาตัวเอง ไฟไม่ไมอดง่าย ๆ
ส่วนคนที่ไม่ใช่ก็สลายตัวไป
คุณต้องทำเป็นขั้นเป็นตอนดังนี้ครับ
1. สร้าง Personal Brand ให้เข้าตา
ก็ต้องยอมรับนะครับว่ายุคนี้
ถ้าคุณมีความสามารถ ประสบการณ์แน่น
พัฒนาคนได้ทะลุขีด
แต่เก็บสิ่งที่มีทั้งหมดไว้
เป็นความลับระดับชาติ
หรือนำเสนอสิ่งล้ำค่าออกมาไม่เป็น
ก็คงไม่มีทางที่ใครเค้าจะสัมผัสได้ว่า
ตัวตนของคุณนั้นน่าร่วมงานด้วยแค่ไหน
มีอะไรที่น่าเลือกเป็น Choice ต้น ๆ
ซึ่งการมี Personal Brand นี่แหละครับ
ที่จะช่วยดันให้คุณลอยเด่นขึ้นมา
สะดุดตา น่าสนใจ จนต้องเก็บไว้พิจารณา
ด้วยการนำเสนอคุณค่าที่มีในตัวคุณ
ทั้งมุมมอง วิสัยทัศน์ วิธีคิด แนวทาง
ในจุดยืนที่มีและเส้นทางที่จะไป
สะท้อนให้เห็นว่าอยู่กับคุณแล้วจะได้อะไร
จะพากันไปทางไหน และจะไปให้ถึงจุดไหน
มีเงินเก็บหลักล้านใน 1 ปี
สร้างทีมเป็นของตัวเองในอนาคต
แน่นอนว่าการนำเสนอตัวตนนั้น
รวมถึงการปรับภาพลักษณ์ให้น่าเชื่อถือ
ดูแล้วสมเป็นผู้นำ เป็นคนทำธุรกิจ
เอาง่าย ๆ ครับ แค่ให้ลองถามตัวเอง
ว่าคุณอยากร่วมงานกับใครมากกว่ากัน
ระหว่าง “คนที่คุณรู้กิตติศัพท์ตัวตน”
กับ “คนที่ No Name ไม่มีตัวตน”
คนอื่นเค้าก็อยากได้ผู้นำทาง
ที่เชื่อว่า “ฝากฝังอนาคตด้วยได้”
เหมือนกันครับ
2. ชูโรง “ป้อนทักษะ”
เมื่อถึงระดับที่มีคนจำนวนหนึ่ง
สนใจอยากเข้าร่วมทีมกับคุณ
ณ จุดนี้คงจะแยกยากครับ
ว่าคนไหนคือแบบที่คุณอยากได้
คนประเภทที่มีแรงขับเคลื่อนภายใน
พัฒนา Growth Mindset มาระดับหนึ่ง
อยากสร้างเนื้อสร้างตัวและความสำเร็จ
ด้วยน้ำมือตัวเอง
ไม่ใช่แบบที่เอาแต่รอ แบมือขอ
เรียกร้องให้ป้อนออเดอร์ให้ตลอด
โดยที่ไม่ Active ลองเรียนรู้สิ่งใหม่
ด้วยตัวเองเลย
ซึ่งคนประเภทหลังนี้แหละครับ
ที่คุณต้องหาทางกันออกไป
ก่อนจะหลุดเข้ามาในวงโคจรของทีมคุณ
ในเมื่อคุณอยากได้คน Active
มีความตั้งใจ พัฒนาตัวเอง
ให้ชูโรงอย่างชัดเจนไปเลยครับว่า...
“ถ้าใครมาเป็นตัวแทนกับคุณ
คุณจะเน้นสอนทักษะ จะฝึกให้ขายเป็น
ใครอยากพัฒนา อยากเก่ง
พร้อมลุยจริง ๆ เชิญทางนี้เลย”
แล้วคนที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ
อยากพัฒนาความสามารถเพื่อสร้างชีวิต
เค้าจะพาตัวเองเข้ามาหาคุณ
ส่วนคนที่รู้ตัวว่าไม่ใช่ กลัวตัวเองจะลำบาก
เค้าจะไม่กล้าแหย่ขาเข้ามาเองแหละครับ
3. ใช้ออฟไลน์เป็น “ประตูบานที่ 2”
ขึ้นชื่อว่า “ธุรกิจ” ก็คือ “ธุรกิจ” ครับ
คงไม่ใช่เรื่องที่จะมานั่งแบ่งแยกว่า
ทำจะแต่ออนไลน์ หรือเอาแค่ออฟไลน์
จริงอยู่ครับว่าโซเชียลมีเดียทำให้คนพบเจอ
เข้าถึงและพูดคุยกับคุณได้เลย
แต่ถ้าจะแสกนตัวตน ทัศนคติ วิธีคิดได้ลึกขึ้น
ไม่มีทางไหนจะดีไปกว่าการมาพบหน้า
พูดคุยทำความรู้จักกันครับ
การที่ใครสักคนจะเข้ามาร่วมทีม ร่วมเดินทาง
อย่างน้อยก็ควรผ่านการกรองเพื่อคัดคุณภาพ
ในเบื้องต้นก่อนเสมอ
ไม่ต่างจากการนัดดูตัว
หรือสัมภาษณ์งานเลยล่ะครับ
(แต่ไม่ถึงกับเป็นทางการ)
คุณจะมีโอกาสได้สังเกตลักษณะท่าทาง
การแสดงออก ที่บอกอะไรได้มากกว่า
ตัวหนังสือที่ปรากฏบนหน้าจอ
หรือน้ำเสียงที่ลอดผ่าน Line Call
และเปิดโอกาสให้คุณลองเทสต์
อะไรบางอย่างได้พอประมาณ
ซึ่งอย่างน้อยการมีเงื่อนไขให้มาพบเจอกัน
ก็เป็นการทดสอบความตั้งใจ
ความพยายามได้ในเบื้องต้น
รวมถึงความรับผิดชอบ
ความตรงต่อเวลาก็ด้วยเช่นกันครับ
ทำให้พอจะ Make Sure ได้ในระดับหนึ่งว่า
คน ๆ นี้น่าจะเหมาะมาร่วมธุรกิจกันได้
ดีกว่านั่งเดาโหงวเฮ้งผ่านหน้าจออย่างเดียว
4. ทดสอบกันยาว ๆ ไม่เอาแค่เปลือก
กว่าจะได้น้ำที่ใสชัวร์ ๆ มาสักหยด
ยังต้องผ่านชั้นกรองตั้งหลายชั้น
การกรองคนให้ได้คุณภาพก็ต้องยึดตาม
หลักการเดียวกันนี่แหละครับ
เรื่องแบบนี้ต้องค่อย ๆ ดู
ค่อย ๆ ให้คะแนนกันไปยาว ๆ
เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
บางคนไม่เคยขายของมาก่อนเลย
แต่ทุ่มความตั้งใจเต็มที่
มีความพยายามเต็มเปี่ยม
เค้าก็สามารถ Up Level ได้เหมือนกัน
ในขณะที่บางคนอาจมีพื้นฐานมาบ้างแล้ว
แต่เวลาผ่านไปยังทำได้แค่เท่าเดิม
เพราะใครจะรู้ว่าคนไหนที่ไฟแรงคงที่
คนไหนจะแบตอ่อนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ดังนั้นจึงต้องคอยเช็กระยะกันตลอด
แล้วเลือกโฟกัสให้ถูกคน
เพื่อให้คุณได้ลูกทีมที่มีคุณภาพ
ในระดับ “หัวกะทิ” ที่จะช่วยทำยอดขาย
และสร้างทีมไปด้วยกันกับคุณยาว ๆ ครับ
.....................................
การคัดคนถือว่าเป็น “งานละเอียด”
จนแทบไม่ต่างอะไรกับการเลือกคู่ชีวิต
ที่ต้องอาศัยเงื่อนไขในการคัดเข้า
ควบคู่ไปกับการกรองออก
เพื่อคนที่ไม่ใช่ก็ให้อยู่ในที่ของเค้า
ส่วนคนไหนที่ใช่ก็ให้มาอยู่ในที่ของเรา
มาช่วยกันขยับขยายธุรกิจ
สร้างอนาคตที่ดีไปด้วยกันครับ