คุณคงเคยได้ยินที่เค้ามักพูดกัน
เกี่ยวกับคอนเทนต์ว่า...
“รูปภาพ ดึงความสนใจ
ได้ดีกว่า ข้อความ”
“ยุคนี้ต้องเป็น วิดีโอ
ถึงจะได้ผลที่สุด”
อันที่จริงก็ไม่ได้มีข้อไหน
ที่ผิดหรอกนะครับ
แต่ทุกอย่างขึ้นกับ
ความเหมาะสมต่างหาก
เพราะไม่ใช่ทุกสินค้าที่เหมาะกับ
การนำเสนอในรูปแบบวิดีโอ
แล้วก็ไม่ได้แปลว่าคุณไม่ต้อง
เขียนคอนเทนต์อีกแล้ว
คุณต้องเลือกรูปแบบของคอนเทนต์
ที่ดัน “จุดขาย” ของสินค้าขึ้นมาได้มากที่สุด
เอาเป็นว่าไม่ต้องมัวสงสัย
ว่าสินค้าของคุณควรเลือก
ทำคอนเทนต์เป็นรูปแบบไหน
เพราะผมสรุปมาให้เข้าใจง่าย ๆ
ตามนี้เลยครับ
1. รูปภาพ
คอนเทนต์ “รูปภาพ” เหมาะกับ
สินค้าประเภทแฟชั่น , คอสเมติก
หรือสินค้าอะไรก็ตามที่ลูกค้า
ต้องการซูมดูให้เห็นชัด ๆ ทุกส่วน
ว่ามุมนี้มันเป็นยังไง
รายละเอียดตรงนี้ตะเข็บมันเป็นยังไง
หรือใช้สีนี้แล้วจะออกมาดูเป็นยังไง
สีเรียบ สีแรง หรือได้ Look ประมาณไหน
ถ้าต้องดูแบบวิดีโอล่ะก็
จะให้มานั่งกด Stop หยุดไปเรื่อย ๆ
ก็กะจังหวะให้ถูกมุมลำบากอยู่เหมือนกัน
แถมรูปภาพยังมีข้อดีสำหรับคุณมากกว่า
ตรงที่ถ้ามันผิดพลาดอะไร ก็สามารถ
กลับมาแก้ไขได้ง่ายกว่า บ่อยกว่า
และค่าใช้จ่ายก็ต่ำกว่าด้วยครับ
ดังนั้นถ้าสินค้าของคุณ
เป็นแนวที่เหมาะกับการใช้รูปภาพ
คุณฝึกเรื่องการถ่ายรูป การหา Reference
มุมมองการนำเสนอ และการแต่งภาพ
แล้วหรือยังล่ะครับ ?
เพราะว่านั่นจะยิ่งทำให้รูปของคุณ
ดึงดูดสายตาได้มหาศาลเลยทีเดียว
2. ข้อความ
อย่าไปดูถูกว่าคอนเทนต์แบบ “ข้อความ”
มันเป็นอะไรที่เบสิก หรือน่าเบื่อ
คนไม่ชอบอ่านเชียวนะครับ
เพราะมีหลายร้าน หลายแบรนด์
ที่สร้างความแตกต่าง โดดเด่น เป็นที่สนใจ
จนทำยอดขายมหาศาลกันมาแล้ว
ด้วยการสร้าง “คำจำกัดความ”
(Definition) เฉพาะตัวสินค้าขึ้นมาได้
เช่น ...
“หมอนดูดวิญญาณ”
เป็นการซัดด้วยชื่อที่บ่งบอกว่า
หมอนใบนี้นอนสบายจนลืมตื่นไปเลย
ซึ่งคนเค้าสนใจมากกว่า
ที่จะแค่บอกว่ามันเป็นหมอนขนเป็ด
หรือตัวอย่างอื่น ๆ อย่าง...
“น้ำลดสิว”
“น้ำผิวลื่น”
“ครีมแต่งหน้าทน”
“เครื่องดื่ม.....”
เห็นไหมครับ แค่คุณรู้จักเปลี่ยนคำ
ทุกอย่างก็เปลี่ยนตามหมด
โดยเฉพาะการรับรู้
ที่ลูกค้ามีต่อสินค้าของคุณ
นี่แหละครับ พลังอำนาจแห่งตัวอักษร
ดังนั้นเตรียมคิดหาคำจำกัดความ
ให้สินค้าของคุณได้แล้วนะครับ
3. วิดีโอ
ด้วยข้อได้เปรียบของ
ภาพเคลื่อนไหว และ เสียง
ทำให้ “วิดีโอ” แสดงคุณสมบัติที่เป็น
“จุดขาย” ของสินค้าให้เห็นได้แบบจะ ๆ..
เช่น ....
“ความเร็ว”
“ความทนทาน”
“กันน้ำ”
“คุณภาพเสียง”
ทั้งนี้ต้องอาศัย “การตัดต่อ”
ที่ดีมาก ๆ ด้วยนะครับ
เพราะถ้าตัดไม่ดี ไม่เรียกความสนใจ
ไม่ชวนให้ติดตาม ต้นทุนของคุณที่ลงไป
ก็หายนะได้เลยเหมือนกัน
แต่ถ้าคุณดีไซน์วิธีการถ่ายทอด
นำเสนอออกมาได้ดี ชนิดที่ไม่ต้อง
อธิบายอะไรเพิ่มให้เจ็บคอ
แถมยังตัดต่อแบบ
รู้จังหวะจะโคนด้วยแล้วล่ะก็
คลิปวิดีโอตัวนั้น ยิ่ง Success เลยล่ะครับ
สามารถปิดการขายในตัวมันได้ทันทีเลย
4. Live
ถึงหน้าตามันดูคล้ายจะเป็น
เครือญาติกับคลิปวิดีโอก็ตาม
แต่ที่จริงมันมีจุดแตกต่างกันไม่น้อยครับ
เพราะการ Live นั้นเอื้อให้คุณสร้าง
Relationship แบบ real time
ให้ลูกค้าตอบสนองคุณได้ในทันที
เหมือนมีเวทย์มนต์บิลท์ให้ลูกค้าสนใจ
และควักกระเป๋าในเวลาอันสั้น
ราวกับคุณไปอยู่ตรงหน้าเค้าจริง ๆ
อย่างที่คุณได้เห็นเคสปิดการขายผ่าน Live
กันเป็นกอบเป็นกำนั่นแหละครับ
แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ง่ายซะทีเดียว
เพราะด้วยความสด ที่คุณไม่สามารถแก้ไข
ตัดต่ออะไรได้เดี๋ยวนั้น
จึงต้องอาศัยการเตรียมตัวที่ดีจริง ๆ
เพราะถ้าดันพลาด หรือทำอะไรไม่เวิร์คขึ้นมา
ก็หมดสิทธิ์ที่จะแก้ตัวในรอบนั้นไปเลยครับ
................................
สรุปแล้วคอนเทนต์ทุกรูปแบบ
ก็มีดีในตัวของมันเองทั้งสิ้นครับ
ซึ่งสิ่งสำคัญที่แท้จริงมันอยู่ที่...
ความเหมาะสมกับสินค้า
ความเหมาะสมของไอเดีย
ความเหมาะสมของวิธีนำเสนอ
มันจึงจะชูจุดขายให้เด่น
จนลูกค้าเห็นแล้วอยากซื้อจริง ๆ ครับ