อย่ารอให้ใครมาสร้างแรงบันดาลใจ แต่จงหัด ‘จุดไฟ’ ด้วยตัวเองให้เป็น I SALESARM


Blog Detail

คุณสมบัติสำคัญอย่างแรก ที่ผมมักจะมองหาในตัวทีมงาน
ไม่ใช่ทักษะการนำเสนอ ไม่ใช่ทักษะในการพูดการเขียน ไม่ทักษะการขาย… 

แต่มันคือ ‘Self-Motivation’

คนประเภทที่มีคุณสมบัตินี้ ไม่ต้องการไฟจากคนอื่นมากมาย 
เพราะเค้าสามารถรักษา ความร้อนแรงได้ด้วยตัวเอง… 

โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ใช่คนที่ชอบ ‘กำกับ’ การทำงานของใคร 
การที่จะต้องกระตุ้นใครตลอดเวลา มันเหมือนต้องคอยบังคับให้เค้าเดินตลอดเวลา 
และถ้าเราต้องเดินจูงใครตลอด แล้วเราจะเดินไปทำหน้าที่ของเราได้ยังไง ?... 

คนที่สามารถ Re-Charge พลังงาน ให้กับตัวเองได้
จะไม่มัวถามคำถามที่ตอกย้ำตัวเอง ว่าต้อยต่ำแค่ไหน... 
จะอ่านคำคมก็ทำไปเพื่อ ‘ทบทวนความฝัน’ ไม่ใช่ต้องมานั่งจุดไฟให้ตัวเองใหม่… 
เราไม่ควรมานั่งถามตัวเองบ่อย ๆ ว่า เราจะทำได้จริง ๆ เหรอ ?
เราไม่มี Connection จะเป็นไปได้ยังไง ?
เราไม่มีเงินทุน คงเริ่มธุรกิจไม่ได้หรอกมั้ง ?... 

แต่ผมคิดว่า มันควรจะเป็นคำถามแบบนี้มากกว่า 

✔️ ถ้าเราพิชิตเป้าหมายใหญ่นี้ได้ เราจะได้อะไร ?
✔️ มีวิธีการไหนบ้างที่เรายังไม่ได้ลองอีก ?
✔️ จุดอ่อนตรงไหนที่เราควรปิด หรือหาทีมมาช่วย ? 

ถ้าเรามัวแต่ถามคำถามเพื่อผลักดันตัวเอง
นั่นแปลว่าเราเป็นคนอ่อนไหวกับความล้มเหลวมากเกินไป 
ถึงตรงนี้ผมจะเล่าให้ฟังว่าคนที่มีคุณสมบัติแบบ Self-Motivation
จะต้องมีลักษณะยังไง

เชิญอ่านต่อใน 5 ข้อนี้ได้เลยครับ 

1) สามารถแยกกองปัญหาได้เป็น 2 ตะกร้า 

ปัญหาในชีวิตคนเราไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น
เพราะผมเชื่อว่าปัญหาที่แก้ไม่ได้  ไม่ควรถือเป็นปัญหาในปัจจุบัน 
เพราะถ้าเราพยายามค้นหาวิธีและถามใครต่อใครจนหมดแล้ว
ณ เวลานี้ยังหา Solution ให้มันไม่ได้ ก็ต้องแขวนเอาไว้ก่อน 

คนที่มี Self-Motivation  จะไม่ได้หนีปัญหาไปตลอด หรือแค่จะ Pause มันไว้ 
เพื่อไปทำสิ่งที่ควรจะทำ ณ นาทีนี้  คือประมาณว่า ถ้าข้าพร้อม เดี๋ยวค่อยกลับมาว่ากัน
ถ้าเราอยากจะก้าวหน้า ก็แค่ต้องพยายามผ่านด่านข้างหน้า ไม่ใช่ด่านสุดท้าย 
ทุกความท้าทาย สร้างการพัฒนาไม่มากก็น้อย เรามองปลายทางเพื่อให้เห็นอนาคต
แต่ไม่สามารถเดินทะลุกำแพงได้

2) รู้จัก ‘ชาร์จไฟ’ ด้วย ‘ใบรับรอง’ ที่เคยได้รับ 

เรามักจะสร้างปัจจุบันของเราด้วยพื้นฐานของอดีตเสมอ 
ความสำเร็จที่ผ่านมา คือเครื่องการันตี ‘ระดับ’ ของเราในปัจจุบัน
เป็นใบรับรองความสามารถในทางโลกแห่งความเป็นจริง 
วิธีคิด วิธีเลือกของเรา ปรับจูนผสมจากความสำเร็จและความล้มเหลวทั้งนั้น 
ความล้มเหลวให้ความคิดเรื่องวิธีการ แต่ความสำเร็จให้ทั้งวิธีการ และแรงกระตุ้น 

คนที่ Self-Motivation จะรู้จักเอาความสำเร็จใจอดีต มาพิชิตความสำเร็จที่ใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น
กล้าเปิดรับโอกาสที่ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า… 
แต่การที่เราเหยียบบนความสำเร็จในอดีตได้ อย่าไปคิดว่าจะหยุดอยู่แค่จุดนั้น
แต่จงใช้มันเพื่อก้าวขึ้นไปอีกระดับ ที่เราจะนับถือตัวเองมากขึ้น
และคนรอบข้างจะยอมรับความสามารถของเราได้มากขึ้น

3) โฟกัสเดินบน “จุดเด่น” ของตัวเอง 
คนที่มี Self-Motivation  จะเข้าใจความไม่เพอร์เฟกต์ของมนุษย์
เค้าเข้าใจดีว่า ในอาณาจักรของความสำเร็จ ทุกคนมีภารกิจพัฒนาตัวเองให้ครบรอบด้านอย่างต่อเนื่อง… 
สกิลระดับการเป็นลูกน้องกับหัวหน้างาน เป็นคนละชุดกัน และถ้ามองในแต่ละบุคคล
ทีมมีหน้าที่เสริมศักยภาพให้กันและกัน จุดเด่นทุกข้อสร้างความสำเร็จได้
แต่จะไปได้สูงกว่านี้  ต้องมีจุดเด่นที่เอื้อให้เติบโตได้ไกลกว่าเดิม 
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวางแผน บริหารคน หรืออื่น ๆ ที่เราขาดอยู่…

4) พก​ “ความเชื่อ” มาทุกครั้งที่ออกจากบ้าน 

เส้นทางจะทำให้เราเดินถึงช้าเร็วต่างกัน แต่ความเชื่อคือเชื้อเพลิงภายใน
ที่จะช่วยหมุนเราไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเพื่อกำหนดทิศทางการเดิน
จิตของเราต้องมีที่ยึดเสมอ ไม่กับแสงสว่างข้างหน้า ก็กับแสงไฟในความคิด… 
เมื่อเรามีความเชื่อ เราก็จะสามารถสัมผัสความเป็นไปได้ แม้จะยังจับต้องไม่ได้ก็ตาม
เมื่อเรามีความเชื่อ เราจะยินดีเสี่ยง ทั้งที่ไม่รู้โอกาสประสบความสำเร็จ 

ทุกครั้งที่รู้สึกไม่มั่นใจ คนที่ Self-Motivation  จะกลับไปยึดความเชื่อโดยอัตโนมัติ 
แต่จริง ๆ แล้วโอกาสสำเร็จจะไม่สำคัญอีกต่อไป ถ้าเป้าหมายนั้น ๆ สำคัญกับเราเทียบเท่าชีวิต
ถ้าไม่ได้ลองทำ จะเสียใจไปตลอดชีวิต… 
ถ้าคิดได้แบบนั้น  เป้าหมายจะยากแค่ไหน มันก็เป็นเรื่องรองไปทันที

5) มีโปรแกรม “Automatic Rebound” 

ตลอดช่วงชีวิตของเรา ย่อมมีขึ้นมีลงเสมอ บางคนจึงเรียกว่าดวงขึ้น - ดวงตก 
เพราะในโลกของการทำงาน เราไม่มีทางควบคุมอะไรได้ 100% 
เราพร้อม 100%  ก็ไม่ใช่คนอื่นจะพร้อม 100% เหมือนเรา 
เป็นเรื่องแน่นอน ที่ไม่ว่างานไหน ๆ ก็มักจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น 

ในส่วนของงาน หรือเรื่องส่วนตัวที่มากระทบ หรือจะเป็นทีมงานป่วย หัวหน้าทะเลาะกับแฟน 
ลูกน้องลืมของไว้ที่บ้าน…  คนที่มีความสามารถ Self-Motivation จะสามารถคืนจิตใจให้กลับมาสู่ปกติได้ 
หันกลับมามองที่เป้าหมายได้ โดยละทิ้งความรู้สึกกังวล
หรือความเซ็งเป็ดที่เกิดจากความตั้งใจที่เอ่อล้นนั่นเอง… 

ความสำเร็จเป็นเกมระยะยาว ที่เราต้องพิชิตแต่ละขั้นไปตลอดชีวิต 

ดังนั้น สุดท้ายของบทความนี้
ผมอยากจะแนะนำให้ทุกคนติดตั้งโปรแกรม Self-Motivation ไว้ให้กับตัวเอง 
มีแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอใครมาเติมไฟให้ตลอด
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไฟของเราจะไม่มีวันมอด โอกาสจะไม่มีวันหมด

เพราะเราจะไม่มีวันยอมให้ตัวเองล้มลง แม้ว่าเราจะยืนอยู่เพียงลำพังก็ตาม