The Only Sales Guide You'll Ever Need
ชื่อผู้แต่ง: Anthony Lannarino
เนื้อหา
สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้ในบทสรุปนี้มี 3 ข้อ
ภาพลักษณ์ของเซลส์โดยทั่วไปนั้นจะต้อง “พูดเก่ง, คล่องแคล่วว่องไว, มีรอยยิ้มที่ดู Fake”
ลูกค้าที่มีประสบการณ์จะไม่อยากทำธุรกิจกับคนขี้โกงพวกนี้ (Slickster = คนโกง คำแสลง Americans)
แต่ในยุคปัจจุบัน Topsales นั้นต้องเป็นมิตร, มีความน่าเชื่อถือ และมีภาพลักษณ์ที่ดีอย่างมืออาชีพ พวกเขาจะไม่พยายามเข้าไปจัดการควบคุมใคร แต่เขาจะไปเป็นในฐานะ "นักแก้ไข" ปัญหาทางธุรกิจให้คุณค่าในการใส่ใจและให้เกียรติลูกค้า
บทสรุป
สิ่งจำเป็น 3 ข้อที่ต้องมีเพื่อความสำเร็จในงานขาย
ความสำเร็จในงานขายไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณขาย ‘อะไร’ หรือขาย ‘ที่ไหน’ มันเกิดจากตัวตนของคุณเอง การใช้ความสามารถของคุณ รวมถึงพรสวรรค์ที่มี และทัศนคติ
Gerhard Gschwandtner ได้ตีพิมพ์นิตยสารชื่อ Selling Power ซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า
คนที่จะเป็นสุดยอดนักขายต้องมี 3 อย่าง
1. แนวคิดที่ถูกต้อง (The Right Mind-Set)
2. ชุดทักษะ (A Skill Set)
3. ชุดเครื่องมือ (A Toolkit)
เช่นเดียวกับในตารางธาตุเคมีปัจจุบันมี 118 ธาตุ
เพิ่มจากเดิมที่มี 63 ธาตุในปี 1869
ตารางธาตุของงานขายมี 17 อย่าง คือ
Mindset 9 ข้อและ Skills จำเป็น 8 ข้อ
List ข้อ 3 ที่ Gschwandtner ว่าไว้ด้วยเรื่อง ‘ชุดเครื่องมือ’ ที่ดีนั้น จะต้องรวมถึง บทสคริปต์, Playbooks และเอกสารต่าง ๆ รวมไปถึงระเบียบแบบแผนและวิธีการขายขององค์กรนั้น ๆ
ชุดเครื่องมือการขายมีความเฉพาะเจาะจง และแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร สิ่งที่อาจนำมาใช้กับองค์กรหนึ่งอาจไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ เลยกับที่อื่น ๆ
แนวคิดความเชื่อและพฤติกรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จในการขาย
(Mind-Set : The Beliefs and Behaviors of Sales Success)
สุดยอดนักขายต้องมี Mindset ที่ชัดเจน ถ้าคุณมีทัศนคติและ Mindset ที่ไม่ถูกต้องและไม่เข้ากับคุณ ต่อให้คุณมีทักษะการขายที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน มันก็ไม่ทำคุณเป็นสุดยอดนักขายได้
ผู้มุ่งหวังจะซื้อของกับคนขายที่เขาชอบ ที่รู้จักให้เกียรติและรู้สึกเป็นกันเอง และเขาอยากทำงานกับคนที่มีบุคลิกภาพที่ดี
ดังนั้น คุณต้องแสดงให้เห็นว่าคุณมีแนวคิดความเชื่อพฤติกรรมและทัศนคติที่ถูกต้องอย่างกระชับ
คุณลักษณะ 9 ข้อที่นักขายต้องทำให้ดีคือ
1. มีวินัยในตนเอง :
ศิลปะในการควบคุมตนเอง(Self-Discipline : The Art of Me Management)
นักขายรับผิดชอบต่อสิ่งที่สัญญาไว้กับผู้มุ่งหวัง นักขายที่มีคำมั่นสัญญา จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขาดูมีความเป็นมืออาชีพที่สุดเท่าที่จะทำได้ถือเป็นแบบฝึกหัดของการฝึกวินัยในตัวเอง ให้เวลาเพื่อเป็นมืออาชีพ และการจัดการตัวเอง การรวมกันของคุณลักษณะเหล่านี้ ก็เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการควบคุมตัวเอง
2. มองโลกในแง่ดี : มีทัศนคติเชิงบวก
(Optimism : A Positive Mental Attitude)
เราทุกคนล้วนเคยเจอกับเหตุการณ์ที่หมดหวังนักขายก็เช่นกัน ที่ต้องเจอกับความท้อใจในการถูก ‘ปฏิเสธ’ อยู่หลายครั้ง และเกิดขึ้นตลอดเวลาในงานขาย วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับความท้อใจคือคุณต้องควบคุมให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง เพื่อที่คุณจะเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ท้าทายการคิดลบจะทำให้งานขายไม่ประสบความสำเร็จ การจะพัฒนาทัศนะคติเชิงบวก คุณต้องบอกกับตัวเองซํ้า ๆ ว่า คุณกำลังจะประสบความสำเร็จ และจงเชื่อว่ามันจะสำเร็จ
3. มีความห่วงใย : ปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
(Caring : The Desire to Help Others)
ความสัมพันธ์คือทุกอย่างในงานขาย นักขายที่มีความสัมพันธ์ ‘ที่ดี’ ย่อมชนะใจผู้มุ่งหวังกว่าความสัมพันธ์ที่ ‘ไม่ดี’ และเป็นความจริงที่เห็นได้บ่อย แม้ว่าคุณพยายามจะเสนอสิ่งที่ดีกว่าก็ตาม การจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีนั้น
คุณต้องแสดงให้ลูกค้าเห็น 2 สิ่งนี้
1. แสดงให้เห็นว่าคุณดูแลเอาใส่ใจพวกเขาและมีความเข้าอกเข้าใจ
2. ช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมาย และให้รู้สึกได้ว่าคุณอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา
4. ไม่ปฏิเสธการแข่งขัน : ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นสุดยอด
(Competitiveness : A Burning Desire to Be the Best)
การขายเป็นเกมอย่างหนึ่งที่ไม่มีคะแนน (“Nearly Always A Zero-Sum Game”) คุณจะเป็นผู้ชนะก็ต่อเมื่อคู่แข่งคุณแพ้ แต่การแข่งขันที่แท้จริงคือคุณไม่ได้แค่อยากที่จะชนะ ในความคิด จิตใจ และทุก ๆ การกระทำของคุณต้องเชื่อจริง ๆ ว่าคุณจะชนะไม่เป็นอย่างอื่น
การที่จะชนะ คุณต้องพร้อมที่จะทำอะไรก็ตามที่จำเป็นอย่างโปร่งใสในงานขายนั้น ตัวแทนการแข่งขันทำงานอย่างหนัก เพื่อจะได้เป็นสุดยอดนักขาย และส่งมอบคุณค่าสูงสุดให้กับลูกค้าของเขา
5. มีไหวพริบ : หาทางหรือสร้างมันขึ้นมา
(Resourcefulness : Finding a Way or Making One)
งานขายเป็นอาชีพที่ท้าทาย นักขายจะอยู่รอดในอาชีพได้นั้น จะต้องมีไหวพริบ และพร้อมหาคำตอบได้ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร ไหวพริบสร้างได้โดยที่คุณต้องพยายามใช้ความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการจะทำ แล้วจุดประกายความคิด โดยถามตัวเองว่ามีวิธีใดอีกบ้าง ที่สามารถช่วยให้ลูกค้าได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น คิดหาขั้นตอนและไอเดียใหม่ ๆ ที่ไม่เคยลองมาทำก่อนโดยที่ยังไม่ต้องมีข้อสรุปทันที
เวลาคุณตัดสินเหตุการณ์ใด ๆ ไว้ล่วงหน้าแล้ว คุณมักจะมีกรอบความคิดลองคิดวิธีอื่นที่คุณสามารถนำไอเดียนั้นมาลงมือทำได้จริง และทดสอบทำหลาย ๆ แบบคิดบวกอย่างสมํ่าเสมอ และอย่ายอมพ่ายแพ้ตัวเองด้วยการคิดลบ นักขายที่มีไหวพริบมักจะทำงานอะไรสำเร็จอยู่เสมอ
6. มีความคิดริเริ่ม : ทำทันที่โดยไม่ต้องรอ
(Initiative : Taking Action Before It Is Necessary)
สุดยอดนักขายไม่รอให้มีเหตุการณ์เกิดก่อนแล้วลงมือทำ แต่เขาจะคิดสร้างโอกาสและลงมือทำ เพื่อให้เกิดสิ่งนั้น ("กันไว้ดีกว่าแก้") งานขายเป็นอาชีพที่คุณต้องลงมือทำอย่างมาก
ลูกค้าชอบนักขายที่มองการณ์ไกล มองเห็นปัญหาล่วงหน้า และเป็นฝ่ายเข้าหาลูกค้าก่อนมากกว่าการรอลูกค้า ให้คุณมองหาโจทย์ที่สามารถแก้ไขได้ และเห็นโอกาสที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์คุณต้องคิดอย่างรอบคอบในสิ่งที่คุณกำลังจะทำและมีส่วนร่วมเสมอ พยายามที่จะสร้างสรรค์ และหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อทดลองให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
7. มีความพยายาม : เอาชนะแรงต่อต้าน
(Persistence: Breaking Through Resistance)
นักขายโดนปฏิเสธอยู่บ่อย ๆ แต่นักขายที่ดีจะ ‘ไม่ปฏิเสธ’ ตัวเอง พวกเขามีความตั้งใจที่จะกลับไปติดต่อลูกค้าที่เคยปฏิเสธ เพื่อจะมีโอกาสขายอีกครั้ง
สุดยอดนักขาย ‘มีความเพียรพยายามมาก’
ใช้เทคนิค 3 ข้อนี้เพื่อพัฒนาตัวคุณเอง
8. การสื่อสาร : ฟังและมีปฏิสัมพันธ์
(Communication: Listening and Connecting)
นักสื่อสารที่ดีมีความอยากรู้อยากเห็น สนอกสนใจ ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เขาจะถามคำถามเพื่อจะได้รับข้อมูลใหม่ ๆ และพบว่าคนเรามักมีเรื่องที่น่าสนใจ แต่นักฟังชั้นยอดจะเป็นผู้ฟังที่ดีมากๆ และสิ่งนี้ทำให้พวกเขาเข้ากับผู้คนได้ง่าย แก่นสำคัญของงานขายคือคุณต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
9. มีความรับผิดชอบ : เป็นเจ้าของสิ่งที่คุณขาย
(Accountability : Owning the Outcomes You Sell)
สมัยก่อน นักขายมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่จำกัด ทันทีที่ขายของได้ เขาจะหาโอกาสขายของใหม่ในครั้งต่อ ๆ ไป โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าลูกค้าใช้ของเเล้วดีอย่างไร หรือบริการเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังการขายนั้น ‘ไม่ใช่’ ประเด็นของคนขาย แต่เป็น “ปัญหา” ของลูกค้าเอง
ปัจจุบันงานขายไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไป เซลส์ทุกคนต้องส่งมอบบริการเต็มรูปแบบขั้นพื้นฐานที่จำเป็นที่สุด เซลส์ที่เก่งจะรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างต่อผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับในสินค้าและบริการ
ชุดทักษะ : ความสามารถในการขายให้สำเร็จ
“Skill Sets : The Ability of Sales Success”
คุณจะขายได้ก็ต่อเมื่อลงมือทำและมีทักษะ ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ คุณก็ไม่สามารถเป็นสุดยอดนักขายได้ คุณต้องขยันหมั่นเพียรอย่างหนักและฝึกฝนอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ได้ทักษะทั้งหมดนี้ เพื่อที่คุณได้จะเจอลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ
ชุดทักษะ 8 ข้อที่จำเป็นคือ
1. ปิดการขาย : ถามเพื่อได้รับความเชื่อมั่น
(Closing : Asking For and Obtaining Commitments)
เซลส์หลายคนคิดว่าการปิดการขายเป็นแค่ขั้นตอนเดียว แต่จริง ๆ มีถึง 10 ขั้นที่แตกต่างกัน ซึ่งเริ่มจาก
2. ประเมินลูกค้า : สร้างสายสัมพันธ์และสร้างโอกาส
(Prospecting : Opening Relationships and Creating Opportunities)
ประเมินสถานการณ์เป็นสิ่งสำคัญในงานขาย
เซลส์ที่เก่งจะวางแผนงาน โดยขั้นตอน 5 ข้อนี้
การปิดการขายและประเมินสถานการณ์เป็นทักษะสำคัญ 2 ข้อแรกที่เซลส์ต้องชำนาญ
3. เล่าเรื่องราว : สร้างเรื่องและทำให้เห็นภาพ
(Storytelling : Creating and Sharing a Vision)
การเล่าเรื่องราวเซลล์สามารถเรียนรู้และดัดแปลงเรื่องเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพจากเรื่องราวที่ได้ยินจากเพื่อนร่วมงานหรือเหตุการณ์ในองค์กรที่ผ่านมา การเล่าเรื่องราวเหล่านี้ช่วยให้คุณขายได้
คุณสามารถพัฒนาให้เรื่องราวมีความน่าสนใจได้ด้วยลักษณะ 3 อย่างคือ
4. วิเคราะห์ข้อมูล : ความปรารถนาที่จะเข้าใจ
(Diagnosing: The Desire to Understand)
มีคำพูดที่ใช้ในวงการทหารอเมริกันว่าไว้คือ “ความจริงขั้นพื้นฐาน” (Ground Truth) คือคนที่เคยมีประสบการณ์รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในภายหน้า โดยที่คนทั่วไปอาจจะไม่รู้ ในงานขายก็เช่นกัน เซลส์ต้องมีความรู้ ‘ลึก’ ในความเป็นไปได้ รู้ข้อมูลจากวงในเพื่อที่เซลส์สามารถโน้มน้าวใจให้ลูกค้าซื้อของได้
Alice Heiman (ที่ปรึกษางานขาย) อธิบายไว้ว่า “ปัญหานั้นยากที่จะแก้ไข ถ้าคุณไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด” เซลส์จะต้องคิดว่าปัญหาของลูกค้าก็เหมือนปัญหาของเขาเอง เพื่อที่จะแก้ปัญหานั้นได้ (เอาใจเขา มาใส่ใจเรา)
5. เจรจาต่อรอง : สร้างผลประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย
(Negotiating : Creating Win-Win Deals)
งานขาย ไม่ใช่งานที่ทำแล้วจบเลยถ้าคุณทำเพื่อเลี้ยงชีพ คุณต้องหาผู้มุ่งหวังอยู่ตลอดระยะเวลาที่ทำอาชีพนี้ต้องมีแผนการระยะยาว เหนือสิ่งอื่นใด ห้ามทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายชนะฝ่ายเดียวในการต่อรองกับลูกค้า แต่จะต้องทำให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย (Win-Win) สร้าง ‘มิตรภาพ’ ไม่ใช่ศัตรู Win-Win จะใช้ได้ผล ถ้าคุณมั่นใจว่าได้ส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า วิธีนี้เป็นวิธีปิดการขายที่ดีที่สุด โดยที่คุณไม่ต้องลดราคาสินค้าเลย
6 รอบรู้ในธุรกิจ : เข้าใจธุรกิจและสร้างคุณค่า
(Business Acumen : Understanding Business and Creating Value)
สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า คือการให้มากกว่าสิ่งที่มีในสินค้าและบริการ มันเป็นหน้าที่ของเซลส์ที่ต้องนำมาปรับใช้เพื่อเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ และเป็นผู้ให้คำแนะนำที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ลูกค้าต้องการเซลส์ที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับองค์กรของเขา การที่จะสร้างความน่าเชื่อถือได้ เซลส์ต้องมีความรู้ที่หลากหลายเกี่ยวกับองค์กรของลูกค้า และต้องมีความรู้ในสาขาอื่น ๆ เช่น การตลาด, การเงิน, และด้านอื่น ๆ
7. บริหารการเปลี่ยนแปลง : สร้างความปรองดองและช่วยผู้อื่น
(Change Management : Building Consensus and Helping Others Change)
มีคนจำนวนมากมีความ “สนใจ” และมี “วาระ” ที่แตกต่าง คุณต้องทำวิธีใดก็ได้ให้คนส่วนใหญ่ ‘เห็นด้วย’ ในสิ่งที่คุณเสนอ เพื่อที่คุณจะขายของได้ มันเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ว่าคุณจะขายอะไรก็ตาม การสร้างความปรองดองจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงจากเรื่องทั่ว ๆ ไป ไปสู่เรื่องราวใหม่
การเปลี่ยนแปลงอาจจะดูน่ากลัว ลูกค้าไม่จะยอมไม่เปลี่ยนแปลงหรือยอมรับอะไรง่าย ๆ ในสิ่งที่คุณเสนอเลย ถ้าคุณไม่สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือที่จะทำให้เขาเห็นว่าสินค้าและบริการของคุณตอบโจทย์ของเขาได้หรือไม่
8. ความเป็นผู้นำ : สร้างผลลัพธ์โดยโน้มน้าวผู้คน
(Leadership : Producing Results with and Through Others)
โดยส่วนมากเซลส์คิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำการขาย แต่จริง ๆ แล้วมันจำเป็น Top Sales จะมีกลยุทธ์ที่แยบยลอย่างเป็นทีม (“Strategic Orchestrators”) เขาจะต้องโน้มน้าวคนจำนวนมากให้เชื่อในสิ่งที่เขาเสนอ และเขาก็จะต้องทำในบริษัทของเขาเองเช่นกัน เพื่อส่งมอบคำสัญญาที่ให้ไว้กับลูกค้า ทั้งหมดนี้จำเป็นในที่ผู้เชี่ยวชาญงานขายและในสุดยอดผู้นำ เพื่อนร่วมงานของคุณต่างก็มีความกังวลใจในตัวเอง การที่คุณจะชนะใจพวกเขาได้ คุณต้อง Support ในความทะเยอทะยานของพวกเขา และให้เขาเชื่อในวิสัยทัศน์ของคุณ
สาระสำคัญ
• การขายก็เหมือนการใช้ชีวิตที่จะทำยังไงให้อยู่รอด
• สุดยอดเซลส์จะมีลักษณะเหมือน ๆ กัน ไม่ว่าสินค้าหรือบริการจะเป็นอะไร
• เลียนแบบวิธีการและทำตามที่สุดยอดนักขายทำ
• เซลส์จำเป็นต้องมีทักษะสำคัญ 8 ข้อคือ “ปิดการขาย, ประเมินสถานการณ์, วิเคราะห์ข้อมูล, เจรจาต่อรอง, รอบรู้ในทางธุรกิจ, บริหารจัดการ, และมีความเป็นผู้นำ”
• เซลส์ที่ชนะต้องบ่มเพาะหลัก Mindset ที่สำคัญ 9 ข้อ คือ
1. มีวินัยในการควบคุมตนเอง
2. มองโลกในแง่ดี
3. เล่าเรื่องราวให้เห็นภาพ
4. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อที่จะเข้าใจ
5. สร้างผลประโยชน์ให้ได้ทั้ง 2 ฝ่าย
6. ทำทันทีโดยไม่ต้องรอ
7. มีความพยายาม
8. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
9. มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ
ลองนำ Mindset 9 ข้อนี้ให้รวมกันให้กลายเป็นความเชื่อ เเนวคิด ทัศนคติ และการจัดการอารมณ์ของคุณ
หนังสือเล่มนี้ถือว่า เป็นคู่มือที่เป็นประโยชน์กับอาชีพนักขายและผู้จัดการฝ่ายขายเลยนะครับ
ชื่อผู้แต่ง: Anthony Lannarino
เนื้อหา
สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้ในบทสรุปนี้มี 3 ข้อ
- อะไรที่ทำให้สุดยอดนักขาย (Sales Superstars) ยังคงสำเร็จสูงสุด
- วิธีสำคัญที่เติมเต็มในงานขายให้สำเร็จ
- แนวคิดสำคัญ 9 ข้อ ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม (Mindset)
ภาพลักษณ์ของเซลส์โดยทั่วไปนั้นจะต้อง “พูดเก่ง, คล่องแคล่วว่องไว, มีรอยยิ้มที่ดู Fake”
ลูกค้าที่มีประสบการณ์จะไม่อยากทำธุรกิจกับคนขี้โกงพวกนี้ (Slickster = คนโกง คำแสลง Americans)
แต่ในยุคปัจจุบัน Topsales นั้นต้องเป็นมิตร, มีความน่าเชื่อถือ และมีภาพลักษณ์ที่ดีอย่างมืออาชีพ พวกเขาจะไม่พยายามเข้าไปจัดการควบคุมใคร แต่เขาจะไปเป็นในฐานะ "นักแก้ไข" ปัญหาทางธุรกิจให้คุณค่าในการใส่ใจและให้เกียรติลูกค้า
บทสรุป
สิ่งจำเป็น 3 ข้อที่ต้องมีเพื่อความสำเร็จในงานขาย
ความสำเร็จในงานขายไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณขาย ‘อะไร’ หรือขาย ‘ที่ไหน’ มันเกิดจากตัวตนของคุณเอง การใช้ความสามารถของคุณ รวมถึงพรสวรรค์ที่มี และทัศนคติ
Gerhard Gschwandtner ได้ตีพิมพ์นิตยสารชื่อ Selling Power ซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า
คนที่จะเป็นสุดยอดนักขายต้องมี 3 อย่าง
1. แนวคิดที่ถูกต้อง (The Right Mind-Set)
2. ชุดทักษะ (A Skill Set)
3. ชุดเครื่องมือ (A Toolkit)
เช่นเดียวกับในตารางธาตุเคมีปัจจุบันมี 118 ธาตุ
เพิ่มจากเดิมที่มี 63 ธาตุในปี 1869
ตารางธาตุของงานขายมี 17 อย่าง คือ
Mindset 9 ข้อและ Skills จำเป็น 8 ข้อ
List ข้อ 3 ที่ Gschwandtner ว่าไว้ด้วยเรื่อง ‘ชุดเครื่องมือ’ ที่ดีนั้น จะต้องรวมถึง บทสคริปต์, Playbooks และเอกสารต่าง ๆ รวมไปถึงระเบียบแบบแผนและวิธีการขายขององค์กรนั้น ๆ
ชุดเครื่องมือการขายมีความเฉพาะเจาะจง และแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร สิ่งที่อาจนำมาใช้กับองค์กรหนึ่งอาจไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ เลยกับที่อื่น ๆ
แนวคิดความเชื่อและพฤติกรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จในการขาย
(Mind-Set : The Beliefs and Behaviors of Sales Success)
สุดยอดนักขายต้องมี Mindset ที่ชัดเจน ถ้าคุณมีทัศนคติและ Mindset ที่ไม่ถูกต้องและไม่เข้ากับคุณ ต่อให้คุณมีทักษะการขายที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน มันก็ไม่ทำคุณเป็นสุดยอดนักขายได้
ผู้มุ่งหวังจะซื้อของกับคนขายที่เขาชอบ ที่รู้จักให้เกียรติและรู้สึกเป็นกันเอง และเขาอยากทำงานกับคนที่มีบุคลิกภาพที่ดี
ดังนั้น คุณต้องแสดงให้เห็นว่าคุณมีแนวคิดความเชื่อพฤติกรรมและทัศนคติที่ถูกต้องอย่างกระชับ
คุณลักษณะ 9 ข้อที่นักขายต้องทำให้ดีคือ
1. มีวินัยในตนเอง :
ศิลปะในการควบคุมตนเอง(Self-Discipline : The Art of Me Management)
นักขายรับผิดชอบต่อสิ่งที่สัญญาไว้กับผู้มุ่งหวัง นักขายที่มีคำมั่นสัญญา จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขาดูมีความเป็นมืออาชีพที่สุดเท่าที่จะทำได้ถือเป็นแบบฝึกหัดของการฝึกวินัยในตัวเอง ให้เวลาเพื่อเป็นมืออาชีพ และการจัดการตัวเอง การรวมกันของคุณลักษณะเหล่านี้ ก็เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการควบคุมตัวเอง
2. มองโลกในแง่ดี : มีทัศนคติเชิงบวก
(Optimism : A Positive Mental Attitude)
เราทุกคนล้วนเคยเจอกับเหตุการณ์ที่หมดหวังนักขายก็เช่นกัน ที่ต้องเจอกับความท้อใจในการถูก ‘ปฏิเสธ’ อยู่หลายครั้ง และเกิดขึ้นตลอดเวลาในงานขาย วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับความท้อใจคือคุณต้องควบคุมให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง เพื่อที่คุณจะเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ท้าทายการคิดลบจะทำให้งานขายไม่ประสบความสำเร็จ การจะพัฒนาทัศนะคติเชิงบวก คุณต้องบอกกับตัวเองซํ้า ๆ ว่า คุณกำลังจะประสบความสำเร็จ และจงเชื่อว่ามันจะสำเร็จ
3. มีความห่วงใย : ปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
(Caring : The Desire to Help Others)
ความสัมพันธ์คือทุกอย่างในงานขาย นักขายที่มีความสัมพันธ์ ‘ที่ดี’ ย่อมชนะใจผู้มุ่งหวังกว่าความสัมพันธ์ที่ ‘ไม่ดี’ และเป็นความจริงที่เห็นได้บ่อย แม้ว่าคุณพยายามจะเสนอสิ่งที่ดีกว่าก็ตาม การจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีนั้น
คุณต้องแสดงให้ลูกค้าเห็น 2 สิ่งนี้
1. แสดงให้เห็นว่าคุณดูแลเอาใส่ใจพวกเขาและมีความเข้าอกเข้าใจ
2. ช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมาย และให้รู้สึกได้ว่าคุณอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา
4. ไม่ปฏิเสธการแข่งขัน : ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นสุดยอด
(Competitiveness : A Burning Desire to Be the Best)
การขายเป็นเกมอย่างหนึ่งที่ไม่มีคะแนน (“Nearly Always A Zero-Sum Game”) คุณจะเป็นผู้ชนะก็ต่อเมื่อคู่แข่งคุณแพ้ แต่การแข่งขันที่แท้จริงคือคุณไม่ได้แค่อยากที่จะชนะ ในความคิด จิตใจ และทุก ๆ การกระทำของคุณต้องเชื่อจริง ๆ ว่าคุณจะชนะไม่เป็นอย่างอื่น
การที่จะชนะ คุณต้องพร้อมที่จะทำอะไรก็ตามที่จำเป็นอย่างโปร่งใสในงานขายนั้น ตัวแทนการแข่งขันทำงานอย่างหนัก เพื่อจะได้เป็นสุดยอดนักขาย และส่งมอบคุณค่าสูงสุดให้กับลูกค้าของเขา
5. มีไหวพริบ : หาทางหรือสร้างมันขึ้นมา
(Resourcefulness : Finding a Way or Making One)
งานขายเป็นอาชีพที่ท้าทาย นักขายจะอยู่รอดในอาชีพได้นั้น จะต้องมีไหวพริบ และพร้อมหาคำตอบได้ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร ไหวพริบสร้างได้โดยที่คุณต้องพยายามใช้ความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการจะทำ แล้วจุดประกายความคิด โดยถามตัวเองว่ามีวิธีใดอีกบ้าง ที่สามารถช่วยให้ลูกค้าได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น คิดหาขั้นตอนและไอเดียใหม่ ๆ ที่ไม่เคยลองมาทำก่อนโดยที่ยังไม่ต้องมีข้อสรุปทันที
เวลาคุณตัดสินเหตุการณ์ใด ๆ ไว้ล่วงหน้าแล้ว คุณมักจะมีกรอบความคิดลองคิดวิธีอื่นที่คุณสามารถนำไอเดียนั้นมาลงมือทำได้จริง และทดสอบทำหลาย ๆ แบบคิดบวกอย่างสมํ่าเสมอ และอย่ายอมพ่ายแพ้ตัวเองด้วยการคิดลบ นักขายที่มีไหวพริบมักจะทำงานอะไรสำเร็จอยู่เสมอ
6. มีความคิดริเริ่ม : ทำทันที่โดยไม่ต้องรอ
(Initiative : Taking Action Before It Is Necessary)
สุดยอดนักขายไม่รอให้มีเหตุการณ์เกิดก่อนแล้วลงมือทำ แต่เขาจะคิดสร้างโอกาสและลงมือทำ เพื่อให้เกิดสิ่งนั้น ("กันไว้ดีกว่าแก้") งานขายเป็นอาชีพที่คุณต้องลงมือทำอย่างมาก
ลูกค้าชอบนักขายที่มองการณ์ไกล มองเห็นปัญหาล่วงหน้า และเป็นฝ่ายเข้าหาลูกค้าก่อนมากกว่าการรอลูกค้า ให้คุณมองหาโจทย์ที่สามารถแก้ไขได้ และเห็นโอกาสที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์คุณต้องคิดอย่างรอบคอบในสิ่งที่คุณกำลังจะทำและมีส่วนร่วมเสมอ พยายามที่จะสร้างสรรค์ และหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อทดลองให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
7. มีความพยายาม : เอาชนะแรงต่อต้าน
(Persistence: Breaking Through Resistance)
นักขายโดนปฏิเสธอยู่บ่อย ๆ แต่นักขายที่ดีจะ ‘ไม่ปฏิเสธ’ ตัวเอง พวกเขามีความตั้งใจที่จะกลับไปติดต่อลูกค้าที่เคยปฏิเสธ เพื่อจะมีโอกาสขายอีกครั้ง
สุดยอดนักขาย ‘มีความเพียรพยายามมาก’
ใช้เทคนิค 3 ข้อนี้เพื่อพัฒนาตัวคุณเอง
- มองความล้มเหลวให้เป็นเรื่องชั่วคราวที่จะต้องเจอและไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เมื่อคุณคิดได้ว่ามันก็เป็นเช่นนี้ ต่อไปมันก็จะง่ายที่คุณจะผ่านพ้นมันไปได้
- กล้าที่จะเริ่มใหม่ ถ้าวันนั้นลูกค้าปฏิเสธคุณให้คุณกลับไปพบพวกเขาอีกครั้งในวันถัดไป และลองขายดูอีกครั้ง ในเกมการแข่งขันบาสเกตบอลจะมีสัญญาณเตือนจบเกมที่เวลา 0:00 ทีมที่แพ้ไม่สามารถทำอะไรได้เลยกับความจริงนี้ แต่ในงานขายคุณสามารถตั้งเวลาและทำใหม่ได้เสมอ
- หาแนวทางใหม่ ๆ เป็นประจำ จนกว่าจะเจอสิ่งที่ “ใช่” และจะสร้างสรรค์อะไรได้บ้าง
8. การสื่อสาร : ฟังและมีปฏิสัมพันธ์
(Communication: Listening and Connecting)
นักสื่อสารที่ดีมีความอยากรู้อยากเห็น สนอกสนใจ ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เขาจะถามคำถามเพื่อจะได้รับข้อมูลใหม่ ๆ และพบว่าคนเรามักมีเรื่องที่น่าสนใจ แต่นักฟังชั้นยอดจะเป็นผู้ฟังที่ดีมากๆ และสิ่งนี้ทำให้พวกเขาเข้ากับผู้คนได้ง่าย แก่นสำคัญของงานขายคือคุณต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
9. มีความรับผิดชอบ : เป็นเจ้าของสิ่งที่คุณขาย
(Accountability : Owning the Outcomes You Sell)
สมัยก่อน นักขายมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่จำกัด ทันทีที่ขายของได้ เขาจะหาโอกาสขายของใหม่ในครั้งต่อ ๆ ไป โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าลูกค้าใช้ของเเล้วดีอย่างไร หรือบริการเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังการขายนั้น ‘ไม่ใช่’ ประเด็นของคนขาย แต่เป็น “ปัญหา” ของลูกค้าเอง
ปัจจุบันงานขายไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไป เซลส์ทุกคนต้องส่งมอบบริการเต็มรูปแบบขั้นพื้นฐานที่จำเป็นที่สุด เซลส์ที่เก่งจะรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างต่อผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับในสินค้าและบริการ
ชุดทักษะ : ความสามารถในการขายให้สำเร็จ
“Skill Sets : The Ability of Sales Success”
คุณจะขายได้ก็ต่อเมื่อลงมือทำและมีทักษะ ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ คุณก็ไม่สามารถเป็นสุดยอดนักขายได้ คุณต้องขยันหมั่นเพียรอย่างหนักและฝึกฝนอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ได้ทักษะทั้งหมดนี้ เพื่อที่คุณได้จะเจอลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ
ชุดทักษะ 8 ข้อที่จำเป็นคือ
1. ปิดการขาย : ถามเพื่อได้รับความเชื่อมั่น
(Closing : Asking For and Obtaining Commitments)
เซลส์หลายคนคิดว่าการปิดการขายเป็นแค่ขั้นตอนเดียว แต่จริง ๆ มีถึง 10 ขั้นที่แตกต่างกัน ซึ่งเริ่มจาก
- เวลาเหมาะสมที่ลูกค้าจะพิจารณา (Time to Consider Your Offer)
- ค้นหาความต้องการที่แท้จริง (The Effort to Explore It. The Client Must be Willing to
- หาวิธีปรับเปลี่ยน (Make Changes)
- ร่วมมือกัน (Collaborate)
- นำไปสู่ข้อตกลง (Reach An Agreement)
- ดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็น (Subsequently, The Client Must)
- เข้าสู่การแก้ปัญหาที่คุณแนะนำ (Go Over Your Suggested Solution)
- ค้นหาปัญหาที่เหลืออยู่ (Address Any Remaining Issues)
- สร้างการยอมรับที่จะซื้อ (Commit to Buying
- ดำเนินการสั่งซื้อ (Execute The Purchase)
2. ประเมินลูกค้า : สร้างสายสัมพันธ์และสร้างโอกาส
(Prospecting : Opening Relationships and Creating Opportunities)
ประเมินสถานการณ์เป็นสิ่งสำคัญในงานขาย
เซลส์ที่เก่งจะวางแผนงาน โดยขั้นตอน 5 ข้อนี้
- สร้างลิสต์รายชื่อ และเลือกผู้มุ่งหวังที่มีศักยภาพ 60 ราย เพื่อติดต่อเข้าพบ
- ให้ความใส่ใจ ดูแลลูกค้าที่มีศักยภาพ ประดุจดั่งดูแล ‘ทองคำ’
- สร้างแคมเปญขึ้นมา เพื่อให้มีโอกาสอีกช่องทาง
- เขียนบทสคริปต์และบทสนทนาที่คุณคิดจะต้องเจอ เพื่อนำไปใช้การเตรียมพร้อมที่ดี เป็นวิธีหนึ่งที่สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกพบ และจะดีที่สุดถ้าคุณวางแผนเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้า
- ใช้หลายช่องทางและวิธีการในการติดต่อกับผู้มุ่งหวัง ยกตัวอย่างเช่น สุ่มโทร., E-mail และติดต่อลูกค้าเก่า
การปิดการขายและประเมินสถานการณ์เป็นทักษะสำคัญ 2 ข้อแรกที่เซลส์ต้องชำนาญ
3. เล่าเรื่องราว : สร้างเรื่องและทำให้เห็นภาพ
(Storytelling : Creating and Sharing a Vision)
การเล่าเรื่องราวเซลล์สามารถเรียนรู้และดัดแปลงเรื่องเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพจากเรื่องราวที่ได้ยินจากเพื่อนร่วมงานหรือเหตุการณ์ในองค์กรที่ผ่านมา การเล่าเรื่องราวเหล่านี้ช่วยให้คุณขายได้
คุณสามารถพัฒนาให้เรื่องราวมีความน่าสนใจได้ด้วยลักษณะ 3 อย่างคือ
- สร้างเรื่องราวให้มีความต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นเรื่อง กลางเรื่อง และจนจบ
- เข้าใจการดำเนินเรื่อง และทำให้เหตุการณ์ดูน่าสนใจ ทำรายละเอียดเล็ก ๆ ให้เป็นเรื่องสนุก
- พยายามทำให้คนฟังเพลิดเพลินไปกับเรื่องราว ถ้าคุณทำได้ มันก็จะทำให้คุณดูเป็นคนสนุกสนาน
4. วิเคราะห์ข้อมูล : ความปรารถนาที่จะเข้าใจ
(Diagnosing: The Desire to Understand)
มีคำพูดที่ใช้ในวงการทหารอเมริกันว่าไว้คือ “ความจริงขั้นพื้นฐาน” (Ground Truth) คือคนที่เคยมีประสบการณ์รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในภายหน้า โดยที่คนทั่วไปอาจจะไม่รู้ ในงานขายก็เช่นกัน เซลส์ต้องมีความรู้ ‘ลึก’ ในความเป็นไปได้ รู้ข้อมูลจากวงในเพื่อที่เซลส์สามารถโน้มน้าวใจให้ลูกค้าซื้อของได้
Alice Heiman (ที่ปรึกษางานขาย) อธิบายไว้ว่า “ปัญหานั้นยากที่จะแก้ไข ถ้าคุณไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด” เซลส์จะต้องคิดว่าปัญหาของลูกค้าก็เหมือนปัญหาของเขาเอง เพื่อที่จะแก้ปัญหานั้นได้ (เอาใจเขา มาใส่ใจเรา)
5. เจรจาต่อรอง : สร้างผลประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย
(Negotiating : Creating Win-Win Deals)
งานขาย ไม่ใช่งานที่ทำแล้วจบเลยถ้าคุณทำเพื่อเลี้ยงชีพ คุณต้องหาผู้มุ่งหวังอยู่ตลอดระยะเวลาที่ทำอาชีพนี้ต้องมีแผนการระยะยาว เหนือสิ่งอื่นใด ห้ามทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายชนะฝ่ายเดียวในการต่อรองกับลูกค้า แต่จะต้องทำให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย (Win-Win) สร้าง ‘มิตรภาพ’ ไม่ใช่ศัตรู Win-Win จะใช้ได้ผล ถ้าคุณมั่นใจว่าได้ส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า วิธีนี้เป็นวิธีปิดการขายที่ดีที่สุด โดยที่คุณไม่ต้องลดราคาสินค้าเลย
6 รอบรู้ในธุรกิจ : เข้าใจธุรกิจและสร้างคุณค่า
(Business Acumen : Understanding Business and Creating Value)
สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า คือการให้มากกว่าสิ่งที่มีในสินค้าและบริการ มันเป็นหน้าที่ของเซลส์ที่ต้องนำมาปรับใช้เพื่อเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ และเป็นผู้ให้คำแนะนำที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ลูกค้าต้องการเซลส์ที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับองค์กรของเขา การที่จะสร้างความน่าเชื่อถือได้ เซลส์ต้องมีความรู้ที่หลากหลายเกี่ยวกับองค์กรของลูกค้า และต้องมีความรู้ในสาขาอื่น ๆ เช่น การตลาด, การเงิน, และด้านอื่น ๆ
7. บริหารการเปลี่ยนแปลง : สร้างความปรองดองและช่วยผู้อื่น
(Change Management : Building Consensus and Helping Others Change)
มีคนจำนวนมากมีความ “สนใจ” และมี “วาระ” ที่แตกต่าง คุณต้องทำวิธีใดก็ได้ให้คนส่วนใหญ่ ‘เห็นด้วย’ ในสิ่งที่คุณเสนอ เพื่อที่คุณจะขายของได้ มันเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ว่าคุณจะขายอะไรก็ตาม การสร้างความปรองดองจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงจากเรื่องทั่ว ๆ ไป ไปสู่เรื่องราวใหม่
การเปลี่ยนแปลงอาจจะดูน่ากลัว ลูกค้าไม่จะยอมไม่เปลี่ยนแปลงหรือยอมรับอะไรง่าย ๆ ในสิ่งที่คุณเสนอเลย ถ้าคุณไม่สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือที่จะทำให้เขาเห็นว่าสินค้าและบริการของคุณตอบโจทย์ของเขาได้หรือไม่
8. ความเป็นผู้นำ : สร้างผลลัพธ์โดยโน้มน้าวผู้คน
(Leadership : Producing Results with and Through Others)
โดยส่วนมากเซลส์คิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำการขาย แต่จริง ๆ แล้วมันจำเป็น Top Sales จะมีกลยุทธ์ที่แยบยลอย่างเป็นทีม (“Strategic Orchestrators”) เขาจะต้องโน้มน้าวคนจำนวนมากให้เชื่อในสิ่งที่เขาเสนอ และเขาก็จะต้องทำในบริษัทของเขาเองเช่นกัน เพื่อส่งมอบคำสัญญาที่ให้ไว้กับลูกค้า ทั้งหมดนี้จำเป็นในที่ผู้เชี่ยวชาญงานขายและในสุดยอดผู้นำ เพื่อนร่วมงานของคุณต่างก็มีความกังวลใจในตัวเอง การที่คุณจะชนะใจพวกเขาได้ คุณต้อง Support ในความทะเยอทะยานของพวกเขา และให้เขาเชื่อในวิสัยทัศน์ของคุณ
สาระสำคัญ
• การขายก็เหมือนการใช้ชีวิตที่จะทำยังไงให้อยู่รอด
• สุดยอดเซลส์จะมีลักษณะเหมือน ๆ กัน ไม่ว่าสินค้าหรือบริการจะเป็นอะไร
• เลียนแบบวิธีการและทำตามที่สุดยอดนักขายทำ
• เซลส์จำเป็นต้องมีทักษะสำคัญ 8 ข้อคือ “ปิดการขาย, ประเมินสถานการณ์, วิเคราะห์ข้อมูล, เจรจาต่อรอง, รอบรู้ในทางธุรกิจ, บริหารจัดการ, และมีความเป็นผู้นำ”
• เซลส์ที่ชนะต้องบ่มเพาะหลัก Mindset ที่สำคัญ 9 ข้อ คือ
1. มีวินัยในการควบคุมตนเอง
2. มองโลกในแง่ดี
3. เล่าเรื่องราวให้เห็นภาพ
4. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อที่จะเข้าใจ
5. สร้างผลประโยชน์ให้ได้ทั้ง 2 ฝ่าย
6. ทำทันทีโดยไม่ต้องรอ
7. มีความพยายาม
8. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
9. มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ
ลองนำ Mindset 9 ข้อนี้ให้รวมกันให้กลายเป็นความเชื่อ เเนวคิด ทัศนคติ และการจัดการอารมณ์ของคุณ
หนังสือเล่มนี้ถือว่า เป็นคู่มือที่เป็นประโยชน์กับอาชีพนักขายและผู้จัดการฝ่ายขายเลยนะครับ