ในวันที่ Demand กับ Supply กำลังสวนทางกันอย่างจริงจัง & ชัดเจน
มีข้อดีที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า 2 ข้อบิ๊ก ๆ ฮะ
คนขายยังมีเยอะกว่าคน [รอ] ซื้อสินค้า… แต่โลกออนไลน์ ก็พอมีพื้นที่ให้ยืนอยู่
และไม่ได้ใจร้ายขนาดที่ใครก้าวเข้าไปขายของแล้ว จะต้องเทหมดหน้าตัก เงินทองหมดตัวเสมอไป
เพราะถ้าลองมองดูสิเออ… จะเห็นว่ายังมีแสงสว่างจากปลายอุโมงค์สาดแสงอยู่ลิบ ๆ
อยู่ที่ว่าใครจะวิ่งเข้าไปใกล้แสงนั้นได้มากกว่า ?
เพื่อพิชิตใจ “คนซื้อ” ได้อย่างต่อเนื่อง & ได้ออเดอร์เรื่อย ๆ
“วิธีคิดต่อไปนี้” บอกก่อนอ่านเลยฮะว่า… เหมาะกับคนขายของออนไลน์ ที่อยากรุ่งและรอดด้วย
ในยุคที่คนขายออนไลน์ล้นเกินคนซื้อ…
1) รู้อะไร รู้ให้ลึก... จนเป็นข้อได้เปรียบ
พอเข้าสู่กระบวนการขายของออนไลน์แล้ว คุณอาจต้องทำตัวเป็นเป็ดน้ำ ในช่วงแรกเริ่ม
- ถามอะไรตอบได้
- ถ่ายรูปเป็น
- รู้วิธีการนำเสนอ
- หากลุ่มเป้าหมายได้เป๊ะ
- ยิงโฆษณาให้เป็น ฯลฯ
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป คุณต้องจับจุดให้ได้ว่าจะ “พัฒนาอะไร ?” ให้กลายเป็นจุดเด่นขึ้นมา
ยกตัวอย่างเช่น พัฒนาตัวเอง ใช้ตัวเองเป็นจุดขาย พัฒนาสินค้า เพิ่มเติมคุณภาพ
ตามมาด้วยกลุ่มคนซื้อที่มากขึ้น พัฒนาวิธีขายของ เพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน เบาแรงงาน ฯลฯ
เพราะถ้าคิดจะลุยในโลกออนไลน์ที่กำลังร้อนระอุ
แค่รู้แล้วคงไม่พอ ต้องรู้จริง ตั้งใจจริงด้วยฮะ…
2) มุ่งหน้าสู่กฎ 10,000 ชั่วโมง
“Malcolm Gladwell” กล่าวไว้ว่า เราสามารถเชี่ยวชาญ
สำเร็จในด้านไม่ถนัดหรือในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ ด้วยการฝึกฝน ทุ่มเทเวลาให้กับสิ่งนั้น
ไม่ต่ำกว่า 10,000 ชั่วโมง++
แล้ว “ผลลัพธ์” อันสวยหรู คุ้มค่า จะปรากฏขึ้น
“กับการขายของออนไลน์ก็เช่นกัน”
วันนี้เราจริงจัง ทุ่มเทเวลาให้กับการ “ขาย” มากพอ เกิน 10,000 ชั่วโมง++ แล้วหรือยัง ?
ถ้าเก่งบางเรื่องแล้ว ก็อย่าลืมฝึกวิชาเล่มถัดไป
ยุคนี้เก่งสุด ๆ วิชาอย่างเดียวเหมือนจะดี
แต่ไม่เหมาะกับการคุมธุรกิจของตัวเอง…
3) เรียนรู้ในทุกดีล
ทุก ๆ ออเดอร์ที่ทักเข้ามา คือ “บทเรียน” ที่หาซื้อจากที่ไหนไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้าที่สุด… จะทนไหวววว, ลูกค้าโอนไวใจถึง, ลูกค้าสายเท
ไปจนลูกค้าสายเปย์ เราต้องเลือกเรียนรู้จากพวกเค้า เพื่อหา “ลูกค้าตัวจริง” ให้เจอ
แล้วโฟกัสไปยังตัวจริงให้ได้มากที่สุด อย่ามัวแต่นอยด์กับ “ลูกค้าตัวปลอม” ที่ไม่ได้สร้างยอดใด ๆ อีกต่อไป…
การขายของออนไลน์จะรุ่ง หรือร่วง
คำตอบไม่ได้อยู่ใน “ตลาด หรือคนซื้อ”
เราเท่านั้นคือผู้กำหนดคำตอบครับ
4) อย่าอยู่คนเดียว
ยุคนี้อยากโตให้ทันคนอื่น ต้อง Partnership ให้เป็น
ฐานลูกค้า ทรัพยากรต่าง ๆ มันใช้ร่วมกันได้ ถ้าเราหาตรงกลางระหว่างกันให้เจอ
อย่าอยู่แต่โลกออนไลน์ อย่าหดตัวแต่อยู่ในแบรนด์ อะไรที่ร่วมทำกลยุทธ์กันได้
เราจะทั้งประหยัดแรง เวลา และเงิน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เรามักจะขาดอยู่เสมอ
สู้คนเดียวแพ้ง่าย สู้เป็นทีมได้ถ้วยง่ายกว่าแน่นอนฮะ…
5) หมั่นลงทุนซ้ำในตัวเอง
เราจะเติบโตในอัตราเท่ากับศักยภาพที่เรามีอยู่ ด้วยกำลังคน 5 คน ด้วยค่าโฆษณา 50,000 บาท
และด้วยปริมาณคอนเทนต์ 25 ชิ้น อย่าชะล่าใจในความปังชั่วคราว คู่แข่งเค้าเห็นหมดแหละ
ว่าเรามาถึงขั้นไหน ในโลกธุรกิจมีคนที่พร้อมจะวิ่งไล่กวดเราอยู่ตลอดเวลา
เพราะการเจาะตลาดใหม่มันก็มักจะไปแย่งเม็ดเงินจากใครสักคนมาอยู่ดี
ดังนั้น หมั่นเอาส่วนหนึ่งกลับมาเติมให้เรามีศักยภาพเพิ่มขึ้นเสมอ
“จงแต่งเครื่องให้แรง จนคู่แข่งแซงไม่ไหว”
มีข้อดีที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า 2 ข้อบิ๊ก ๆ ฮะ
- ช่วย “ลด” ปริมาณคนขายออนไลน์ ที่ไม่จริงจังไม่เอาจริง
- ช่วย “เพิ่ม” ความ Active ให้กับคนขายออนไลน์ทั้งหน้าเก่า & หน้าใหม่
คนขายยังมีเยอะกว่าคน [รอ] ซื้อสินค้า… แต่โลกออนไลน์ ก็พอมีพื้นที่ให้ยืนอยู่
และไม่ได้ใจร้ายขนาดที่ใครก้าวเข้าไปขายของแล้ว จะต้องเทหมดหน้าตัก เงินทองหมดตัวเสมอไป
เพราะถ้าลองมองดูสิเออ… จะเห็นว่ายังมีแสงสว่างจากปลายอุโมงค์สาดแสงอยู่ลิบ ๆ
อยู่ที่ว่าใครจะวิ่งเข้าไปใกล้แสงนั้นได้มากกว่า ?
เพื่อพิชิตใจ “คนซื้อ” ได้อย่างต่อเนื่อง & ได้ออเดอร์เรื่อย ๆ
“วิธีคิดต่อไปนี้” บอกก่อนอ่านเลยฮะว่า… เหมาะกับคนขายของออนไลน์ ที่อยากรุ่งและรอดด้วย
ในยุคที่คนขายออนไลน์ล้นเกินคนซื้อ…
1) รู้อะไร รู้ให้ลึก... จนเป็นข้อได้เปรียบ
พอเข้าสู่กระบวนการขายของออนไลน์แล้ว คุณอาจต้องทำตัวเป็นเป็ดน้ำ ในช่วงแรกเริ่ม
- ถามอะไรตอบได้
- ถ่ายรูปเป็น
- รู้วิธีการนำเสนอ
- หากลุ่มเป้าหมายได้เป๊ะ
- ยิงโฆษณาให้เป็น ฯลฯ
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป คุณต้องจับจุดให้ได้ว่าจะ “พัฒนาอะไร ?” ให้กลายเป็นจุดเด่นขึ้นมา
ยกตัวอย่างเช่น พัฒนาตัวเอง ใช้ตัวเองเป็นจุดขาย พัฒนาสินค้า เพิ่มเติมคุณภาพ
ตามมาด้วยกลุ่มคนซื้อที่มากขึ้น พัฒนาวิธีขายของ เพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน เบาแรงงาน ฯลฯ
เพราะถ้าคิดจะลุยในโลกออนไลน์ที่กำลังร้อนระอุ
แค่รู้แล้วคงไม่พอ ต้องรู้จริง ตั้งใจจริงด้วยฮะ…
2) มุ่งหน้าสู่กฎ 10,000 ชั่วโมง
“Malcolm Gladwell” กล่าวไว้ว่า เราสามารถเชี่ยวชาญ
สำเร็จในด้านไม่ถนัดหรือในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ ด้วยการฝึกฝน ทุ่มเทเวลาให้กับสิ่งนั้น
ไม่ต่ำกว่า 10,000 ชั่วโมง++
แล้ว “ผลลัพธ์” อันสวยหรู คุ้มค่า จะปรากฏขึ้น
“กับการขายของออนไลน์ก็เช่นกัน”
วันนี้เราจริงจัง ทุ่มเทเวลาให้กับการ “ขาย” มากพอ เกิน 10,000 ชั่วโมง++ แล้วหรือยัง ?
ถ้าเก่งบางเรื่องแล้ว ก็อย่าลืมฝึกวิชาเล่มถัดไป
ยุคนี้เก่งสุด ๆ วิชาอย่างเดียวเหมือนจะดี
แต่ไม่เหมาะกับการคุมธุรกิจของตัวเอง…
3) เรียนรู้ในทุกดีล
ทุก ๆ ออเดอร์ที่ทักเข้ามา คือ “บทเรียน” ที่หาซื้อจากที่ไหนไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้าที่สุด… จะทนไหวววว, ลูกค้าโอนไวใจถึง, ลูกค้าสายเท
ไปจนลูกค้าสายเปย์ เราต้องเลือกเรียนรู้จากพวกเค้า เพื่อหา “ลูกค้าตัวจริง” ให้เจอ
แล้วโฟกัสไปยังตัวจริงให้ได้มากที่สุด อย่ามัวแต่นอยด์กับ “ลูกค้าตัวปลอม” ที่ไม่ได้สร้างยอดใด ๆ อีกต่อไป…
การขายของออนไลน์จะรุ่ง หรือร่วง
คำตอบไม่ได้อยู่ใน “ตลาด หรือคนซื้อ”
เราเท่านั้นคือผู้กำหนดคำตอบครับ
4) อย่าอยู่คนเดียว
ยุคนี้อยากโตให้ทันคนอื่น ต้อง Partnership ให้เป็น
ฐานลูกค้า ทรัพยากรต่าง ๆ มันใช้ร่วมกันได้ ถ้าเราหาตรงกลางระหว่างกันให้เจอ
อย่าอยู่แต่โลกออนไลน์ อย่าหดตัวแต่อยู่ในแบรนด์ อะไรที่ร่วมทำกลยุทธ์กันได้
เราจะทั้งประหยัดแรง เวลา และเงิน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เรามักจะขาดอยู่เสมอ
สู้คนเดียวแพ้ง่าย สู้เป็นทีมได้ถ้วยง่ายกว่าแน่นอนฮะ…
5) หมั่นลงทุนซ้ำในตัวเอง
เราจะเติบโตในอัตราเท่ากับศักยภาพที่เรามีอยู่ ด้วยกำลังคน 5 คน ด้วยค่าโฆษณา 50,000 บาท
และด้วยปริมาณคอนเทนต์ 25 ชิ้น อย่าชะล่าใจในความปังชั่วคราว คู่แข่งเค้าเห็นหมดแหละ
ว่าเรามาถึงขั้นไหน ในโลกธุรกิจมีคนที่พร้อมจะวิ่งไล่กวดเราอยู่ตลอดเวลา
เพราะการเจาะตลาดใหม่มันก็มักจะไปแย่งเม็ดเงินจากใครสักคนมาอยู่ดี
ดังนั้น หมั่นเอาส่วนหนึ่งกลับมาเติมให้เรามีศักยภาพเพิ่มขึ้นเสมอ
“จงแต่งเครื่องให้แรง จนคู่แข่งแซงไม่ไหว”
