เจ้าของแบรนด์ส่วนใหญ่เอาเงินไปถมลงไปกับแบรนด์ โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่า
สรุปแล้วมันมีผลกับยอดขายจริงหรือเปล่า?
สำหรับนักขายอย่างผม "แบรนด์ติด" มันคือการที่มีลูกค้าพึงพอใจจากการใช้เงินของตัวเองเพื่อซื้อสินค้า
การแจกฟรีจำนวนมากอาจจะได้แค่ Awareness คือ เออ รู้จัก แต่ไม่ใช่ว่าจะซื้อนะ...
ซึ่งแน่นอนว่า การวัดว่าแบรนด์แข็งเราไม่ได้นับที่จำนวน Like
หรือ จำนวน Users หรือจะ จำนวนคนมารับของฟรี
เพราะเรามักปลอบโยนจิตใจตัวเองที่เสียเงินต่าง ๆ นา ๆ ด้วยคำว่า “สร้างแบรนด์“
ทั้ง ๆ ที่หลาย ๆ เคสมันไม่เคยย้อนกลับมาหาเราสัก 10% ด้วยซ้ำ
ยอดขายต่อยอดโฆษณา หรือนับ Order ต่อวัน เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้านับ
ก็เพราะมันง่ายกว่าที่จะใช้ข้ออ้างว่า “อ๋อ แบรนด์ยังไม่ติด”
ใช่ครับ ก็เป็นไปได้ที่แบรนด์ยังไม่ติด เลยขายสินค้าได้ยาก
แบรนด์ดีพูดนิดเดียวก็ขายได้ แต่ในช่วงเริ่มต้นเราอาจจะอยู่ไม่ถึงวันที่แบรนด์ติด
การที่เราขายได้น้อยเหลือเกิน สาเหตุมักเป็นเพราะทิศทางขายยังไม่ถูกทางมากกว่า
ซึ่งถ้าทิศทางการขายถูกมันต้องเห็นสัญญาณดี Inbox ต้องมา comment ต้องมี ยอดขายต้องเริ่มไหล
วันนี้ผมมี 5 เคล็ดลับที่จะช่วย Save จำนวนเงินมหาศาล
วิธีสร้างแบรนด์สไตล์ งบน้อย-ต่อยหนักครับ
1 ) ขายอย่างเดียวก็ขายได้
ตั้งแต่สมัยปั้นเพจ Isnackbox : เราจะผ่านความอ้วนไปด้วยกัน ที่ขายขนมเฮลธ์ตี้ระดับพรีเมี่ยม
เอาเป็นว่าตั้งแต่ 0 Like ผมไม่เคยเขียน Content ให้ประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น "มันก็ขายได้"
ไปเลื่อนดูได้เลยครับ มันมีแต่ภาพยั่วกิเลศล้วน ๆ เรียกว่า “ขายของทุกโพสต์”
ตั้งแต่ขายวันแรก 9 เมษายน 2559 จนถึงวันนี้ ทิศทางก็ยังไม่เปลี่ยน
แฟนเพจโตมาจนถึง 140,000 โดยไม่เสียเงินค่าโปรโมทเพจไลค์
ออกรายการนับสิบช่อง 3 ช่อง 9 ช่องอะไรก็แล้วแต่ โดยไม่เสียเงินสักบาท
บางแบรนด์กลับกันต้องเสียเงินให้กับทุกรายการ
ส่วนต่างตรงนี้มหาศาล มันคงไม่เป็นไรถ้ามีเงินเยอะ
แต่ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจทีเอาทุนตัวเองมาใช้เหมือนผม จะรอดไหมล่ะ?
มีอีกหลาย ๆ แฟนเพจซึ่งทำแบบนี้ก็มียอดขายตลอดเวลา
คือเราคิดว่า โฆษณาที่เขียนมาดี ดึงความต้องการลูกค้าออกมาได้
ไม่ใช่โฆษณาอีกต่อไป เพราะมันมาในเวลาที่เขาพร้อมจะซื้อนั่นเอง
แค่ต้องวิเคราะห์ให้แตก ว่าต้อง "พูดว่าอะไร" คนถึงจะยอมซื้อต่างหากครับ
2 ) Content เป็นนาย Interest เป็นบ่าว
เอาจริง ๆ แล้วการกดคลิ๊กขวาบูสท์โฆษณาโง่ ๆ ก็สร้างยอดขายได้
ถ้า Content เด็ดจริง อาจจะเปลืองหน่อย แต่ก็ขายได้จริง ๆ
ไม่ใช่เซ็ทเต็มที่ ยอดเงียบกริบบบบบบ
คือ Content เป็นตัวชี้วัดแรก ส่วน Media มันเป็นตัวรอง
ถ้ามีเวลาหรืองบมากพอ ควรโฟกัสที่ Content ก่อน
ถ้ารู้แน่ชัดว่า แบรนด์ของเราต้องพูดอะไรแล้วจะ “ปัง”
เอาคำนั้นไปให้คนดังพูด มันจะยิ่ง “ปัง” คูณ 2 คูณ 10 ไปเลย
"เด็กเสิร์ฟที่มารยาทดีไม่สามารถแก้ไขรสชาติอาหารที่ห่วยแตกได้
การเซ็ท Ads ที่ยอดเยี่ยมไม่สามารถแก้ไข Content ที่งี่เง่าได้ฉันท์นั้น"
คนที่ไม่เคยเห็นอานุภาพของ Ads แปลว่าไม่เคยทำ “Content เพื่อขาย” ที่ยอดเยี่ยมออกมาเลย
อย่าบอกว่า เฟสบุคไม่เวิร์ค ถ้ายังมีคนร่ำรวยขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจำนวนเงิน และจำนวนผู้ประสบความสำเร็จอยู่
3 ) ไม่ต้องอ้อม ขายตรงๆ แบบจริงใจเหอะ
หมดยุคหลอกขายของแล้วครับ "การขายของควรขายตรง ๆ แต่ขายแบบมีเสน่ห์" จริง ๆ
Content ที่เน้น comment เน้น share
โดยที่จำนวน comment + share ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ลูกค้าตัวจริง
จะเอาไปทำไมล่ะ ลูกค้าที่ไม่มีวันจะซื้อของเรา?
ความโหดร้ายของการทำ Content ก็คือ คาแรคเตอร์มันจะติดตัวแบรนด์ไปด้วย
คิดให้ดี เน้นเอาแต่ยอดแชร์ยอดคอมเม้นต์ แล้วมันลากใครมาบ้าง
มันส่งผลให้กับความรู้สึกคนที่มีต่อแบรนด์ยังไงบ้าง คิดดูดี ๆ
เคยได้ยินเคสหนึ่งที่พี่ท่านนึงที่ถูกเชิญไปบรรยายด้วยเหตุผลที่ว่า
อยากให้ไปพูดให้กับคนอยากทำธุรกิจแต่มีเงินน้อย
แต่พอไปถึงงานปุ๊ปกลับช๊อคด้วยถุงกระดาษของแบรนด์แบรนด์นึง
แกก็โมโห เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมไม่บอกตรง ๆ ?
ผมคิดว่า มันไม่ได้สำคัญที่เราถูกเรียกว่าอะไร
แต่มันสำคัญตรง "วิธีการ" ต่างหากครับ
เพราะวิธีการที่เราใช้จะทำให้แบรนด์ของเรากลายเป็น “สิ่งนั้น” นั่นแหละ
5 ) “ราคาของ Influencer” สำคัญกว่า “การใช้ Influencer”
ในมุมมองของผมการจ้าง Inluencer นั้นเป็นเรื่องของ Content มากกว่า Media
เพราะ Media ตัวจริง คือผืนแผ่นดินที่สำนักข่าวหรือช่องรายการอาศัยอยู่ นั้นคือ เฟสบุคหรือไลน์
และเมื่อไหร่ที่ Influencer คนใดถูกจ้างด้วยเงินได้
ความน่าเชื่อถือจะต่ำลงไปตามจำนวนครั้งที่เขาถูกจ้างให้โปรโมท
ดังนั้นระดับการมองเห็น (Organic reach) นั้นไม่ได้มากเท่า Content ปกติของ Influencer เหล่านั้น
(อาจจะต่ำกว่า 5 เท่า 10 เท่า ก็ไม่แปลกครับ)
ราคาที่น่ากลัวในการผลิต Content นั้นรู้สึกว่า
เราสามารถทำ Content นั้นในราคาถูกกว่า
แล้วนำเงินที่เหลือไปอัดโฆษณา ที่จะย้อนกลับมาที่แฟนเพจได้อย่างแน่นอนดีกว่า
เพราะถ้าเงินไม่มากพอ อย่าทุ่มทั้งหมดที่มีให้กับ Content เดียว
โดยที่ยังไม่ได้ทดสอบจริง ๆ ว่ามันเวิร์ครึเปล่า
(โปรดระวัง VIRAL CLIP เดิมพันชีวิตนะครับ เสียหลักแสนกว่า ได้มา 4-5 นาที
ซึ่งไม่การันตีเลยว่า มันจะปัง การตลาดสมัยนี้ต้องทำ content ให้เอื้อให้เรามีโอกาสแก้ตัวครับ)
ลองเอาทั้ง 5 ข้อนี้ไปปรับใช้กันดูนะ
งบน้อย ต่อยหนัก ให้ยอดขายเยอะ
สรุปแล้วมันมีผลกับยอดขายจริงหรือเปล่า?
สำหรับนักขายอย่างผม "แบรนด์ติด" มันคือการที่มีลูกค้าพึงพอใจจากการใช้เงินของตัวเองเพื่อซื้อสินค้า
การแจกฟรีจำนวนมากอาจจะได้แค่ Awareness คือ เออ รู้จัก แต่ไม่ใช่ว่าจะซื้อนะ...
ซึ่งแน่นอนว่า การวัดว่าแบรนด์แข็งเราไม่ได้นับที่จำนวน Like
หรือ จำนวน Users หรือจะ จำนวนคนมารับของฟรี
เพราะเรามักปลอบโยนจิตใจตัวเองที่เสียเงินต่าง ๆ นา ๆ ด้วยคำว่า “สร้างแบรนด์“
ทั้ง ๆ ที่หลาย ๆ เคสมันไม่เคยย้อนกลับมาหาเราสัก 10% ด้วยซ้ำ
ยอดขายต่อยอดโฆษณา หรือนับ Order ต่อวัน เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้านับ
ก็เพราะมันง่ายกว่าที่จะใช้ข้ออ้างว่า “อ๋อ แบรนด์ยังไม่ติด”
ใช่ครับ ก็เป็นไปได้ที่แบรนด์ยังไม่ติด เลยขายสินค้าได้ยาก
แบรนด์ดีพูดนิดเดียวก็ขายได้ แต่ในช่วงเริ่มต้นเราอาจจะอยู่ไม่ถึงวันที่แบรนด์ติด
การที่เราขายได้น้อยเหลือเกิน สาเหตุมักเป็นเพราะทิศทางขายยังไม่ถูกทางมากกว่า
ซึ่งถ้าทิศทางการขายถูกมันต้องเห็นสัญญาณดี Inbox ต้องมา comment ต้องมี ยอดขายต้องเริ่มไหล
วันนี้ผมมี 5 เคล็ดลับที่จะช่วย Save จำนวนเงินมหาศาล
วิธีสร้างแบรนด์สไตล์ งบน้อย-ต่อยหนักครับ
1 ) ขายอย่างเดียวก็ขายได้
ตั้งแต่สมัยปั้นเพจ Isnackbox : เราจะผ่านความอ้วนไปด้วยกัน ที่ขายขนมเฮลธ์ตี้ระดับพรีเมี่ยม
เอาเป็นว่าตั้งแต่ 0 Like ผมไม่เคยเขียน Content ให้ประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น "มันก็ขายได้"
ไปเลื่อนดูได้เลยครับ มันมีแต่ภาพยั่วกิเลศล้วน ๆ เรียกว่า “ขายของทุกโพสต์”
ตั้งแต่ขายวันแรก 9 เมษายน 2559 จนถึงวันนี้ ทิศทางก็ยังไม่เปลี่ยน
แฟนเพจโตมาจนถึง 140,000 โดยไม่เสียเงินค่าโปรโมทเพจไลค์
ออกรายการนับสิบช่อง 3 ช่อง 9 ช่องอะไรก็แล้วแต่ โดยไม่เสียเงินสักบาท
บางแบรนด์กลับกันต้องเสียเงินให้กับทุกรายการ
ส่วนต่างตรงนี้มหาศาล มันคงไม่เป็นไรถ้ามีเงินเยอะ
แต่ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจทีเอาทุนตัวเองมาใช้เหมือนผม จะรอดไหมล่ะ?
มีอีกหลาย ๆ แฟนเพจซึ่งทำแบบนี้ก็มียอดขายตลอดเวลา
คือเราคิดว่า โฆษณาที่เขียนมาดี ดึงความต้องการลูกค้าออกมาได้
ไม่ใช่โฆษณาอีกต่อไป เพราะมันมาในเวลาที่เขาพร้อมจะซื้อนั่นเอง
แค่ต้องวิเคราะห์ให้แตก ว่าต้อง "พูดว่าอะไร" คนถึงจะยอมซื้อต่างหากครับ
2 ) Content เป็นนาย Interest เป็นบ่าว
เอาจริง ๆ แล้วการกดคลิ๊กขวาบูสท์โฆษณาโง่ ๆ ก็สร้างยอดขายได้
ถ้า Content เด็ดจริง อาจจะเปลืองหน่อย แต่ก็ขายได้จริง ๆ
ไม่ใช่เซ็ทเต็มที่ ยอดเงียบกริบบบบบบ
คือ Content เป็นตัวชี้วัดแรก ส่วน Media มันเป็นตัวรอง
ถ้ามีเวลาหรืองบมากพอ ควรโฟกัสที่ Content ก่อน
ถ้ารู้แน่ชัดว่า แบรนด์ของเราต้องพูดอะไรแล้วจะ “ปัง”
เอาคำนั้นไปให้คนดังพูด มันจะยิ่ง “ปัง” คูณ 2 คูณ 10 ไปเลย
"เด็กเสิร์ฟที่มารยาทดีไม่สามารถแก้ไขรสชาติอาหารที่ห่วยแตกได้
การเซ็ท Ads ที่ยอดเยี่ยมไม่สามารถแก้ไข Content ที่งี่เง่าได้ฉันท์นั้น"
คนที่ไม่เคยเห็นอานุภาพของ Ads แปลว่าไม่เคยทำ “Content เพื่อขาย” ที่ยอดเยี่ยมออกมาเลย
อย่าบอกว่า เฟสบุคไม่เวิร์ค ถ้ายังมีคนร่ำรวยขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจำนวนเงิน และจำนวนผู้ประสบความสำเร็จอยู่
3 ) ไม่ต้องอ้อม ขายตรงๆ แบบจริงใจเหอะ
หมดยุคหลอกขายของแล้วครับ "การขายของควรขายตรง ๆ แต่ขายแบบมีเสน่ห์" จริง ๆ
Content ที่เน้น comment เน้น share
โดยที่จำนวน comment + share ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ลูกค้าตัวจริง
จะเอาไปทำไมล่ะ ลูกค้าที่ไม่มีวันจะซื้อของเรา?
ความโหดร้ายของการทำ Content ก็คือ คาแรคเตอร์มันจะติดตัวแบรนด์ไปด้วย
คิดให้ดี เน้นเอาแต่ยอดแชร์ยอดคอมเม้นต์ แล้วมันลากใครมาบ้าง
มันส่งผลให้กับความรู้สึกคนที่มีต่อแบรนด์ยังไงบ้าง คิดดูดี ๆ
เคยได้ยินเคสหนึ่งที่พี่ท่านนึงที่ถูกเชิญไปบรรยายด้วยเหตุผลที่ว่า
อยากให้ไปพูดให้กับคนอยากทำธุรกิจแต่มีเงินน้อย
แต่พอไปถึงงานปุ๊ปกลับช๊อคด้วยถุงกระดาษของแบรนด์แบรนด์นึง
แกก็โมโห เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมไม่บอกตรง ๆ ?
ผมคิดว่า มันไม่ได้สำคัญที่เราถูกเรียกว่าอะไร
แต่มันสำคัญตรง "วิธีการ" ต่างหากครับ
เพราะวิธีการที่เราใช้จะทำให้แบรนด์ของเรากลายเป็น “สิ่งนั้น” นั่นแหละ
4 ) การตลาดดี x การขายห่วย = ยอดขายเลวร้าย
กระบวนการขายเริ่มต้นเมื่อลูกค้าทักเข้ามาใน Inbox หรือ LINE
ซึ่งกระบวนการปิดการขาย เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
การตื๊อ การยัดเยียดกับการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด มีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่
Admin คือจุดตายอีกจุด ที่ Online SME หรือ Big Brand ก็ตามเสียหายอย่างมหาศาล
ลูกค้าที่มาทักส่วนใหญ่มีปัญหาตรงกับสินค้าของเรานั้นแหละ
ซึ่งการขายสินค้าให้กับคนที่มีปัญหานี่ขายง่ายที่สุดแล้ว
แต่การให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน และจริงใจ เป็นสิ่งที่แบรนด์บกพร่องอยู่
กระบวนการขายที่ยอดเยี่ยมจะเพิ่มอัตราการปิดการขายสำหรับลูกค้าที่ทักมาหาได้อย่างมหาศาลครับ
เชื่อผมสิว่า เสียเงินจ้าง Admin มาคนหนึ่งตั้งใจตอบปัญหาลูกค้าในเชิงลึก แบบเต็มใจ มันประหยัดค่าโฆษณาไปได้เยอะ
"อย่าประเมินความทรงพลังของนักขายต่ำไป
มีคนจ่ายเงินหลักล้านหรือสิบล้านอย่างไม่สมเหตุสมผล
เพราะนักขายมามากมายครับ"
กระบวนการขายเริ่มต้นเมื่อลูกค้าทักเข้ามาใน Inbox หรือ LINE
ซึ่งกระบวนการปิดการขาย เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
การตื๊อ การยัดเยียดกับการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด มีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่
Admin คือจุดตายอีกจุด ที่ Online SME หรือ Big Brand ก็ตามเสียหายอย่างมหาศาล
ลูกค้าที่มาทักส่วนใหญ่มีปัญหาตรงกับสินค้าของเรานั้นแหละ
ซึ่งการขายสินค้าให้กับคนที่มีปัญหานี่ขายง่ายที่สุดแล้ว
แต่การให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน และจริงใจ เป็นสิ่งที่แบรนด์บกพร่องอยู่
กระบวนการขายที่ยอดเยี่ยมจะเพิ่มอัตราการปิดการขายสำหรับลูกค้าที่ทักมาหาได้อย่างมหาศาลครับ
เชื่อผมสิว่า เสียเงินจ้าง Admin มาคนหนึ่งตั้งใจตอบปัญหาลูกค้าในเชิงลึก แบบเต็มใจ มันประหยัดค่าโฆษณาไปได้เยอะ
"อย่าประเมินความทรงพลังของนักขายต่ำไป
มีคนจ่ายเงินหลักล้านหรือสิบล้านอย่างไม่สมเหตุสมผล
เพราะนักขายมามากมายครับ"
5 ) “ราคาของ Influencer” สำคัญกว่า “การใช้ Influencer”
ในมุมมองของผมการจ้าง Inluencer นั้นเป็นเรื่องของ Content มากกว่า Media
เพราะ Media ตัวจริง คือผืนแผ่นดินที่สำนักข่าวหรือช่องรายการอาศัยอยู่ นั้นคือ เฟสบุคหรือไลน์
และเมื่อไหร่ที่ Influencer คนใดถูกจ้างด้วยเงินได้
ความน่าเชื่อถือจะต่ำลงไปตามจำนวนครั้งที่เขาถูกจ้างให้โปรโมท
ดังนั้นระดับการมองเห็น (Organic reach) นั้นไม่ได้มากเท่า Content ปกติของ Influencer เหล่านั้น
(อาจจะต่ำกว่า 5 เท่า 10 เท่า ก็ไม่แปลกครับ)
ราคาที่น่ากลัวในการผลิต Content นั้นรู้สึกว่า
เราสามารถทำ Content นั้นในราคาถูกกว่า
แล้วนำเงินที่เหลือไปอัดโฆษณา ที่จะย้อนกลับมาที่แฟนเพจได้อย่างแน่นอนดีกว่า
เพราะถ้าเงินไม่มากพอ อย่าทุ่มทั้งหมดที่มีให้กับ Content เดียว
โดยที่ยังไม่ได้ทดสอบจริง ๆ ว่ามันเวิร์ครึเปล่า
(โปรดระวัง VIRAL CLIP เดิมพันชีวิตนะครับ เสียหลักแสนกว่า ได้มา 4-5 นาที
ซึ่งไม่การันตีเลยว่า มันจะปัง การตลาดสมัยนี้ต้องทำ content ให้เอื้อให้เรามีโอกาสแก้ตัวครับ)
ลองเอาทั้ง 5 ข้อนี้ไปปรับใช้กันดูนะ
งบน้อย ต่อยหนัก ให้ยอดขายเยอะ