ถ้าให้นึกถึงวิธี
ที่จะเรียกความสนใจให้กับแบรนด์
หนึ่งในคำตอบที่ผมมักได้ยิน
จากปากเจ้าของแบรนด์ที่มีทุนหนา
ก็คือการจ้างดารามาเป็น Presenter
การมีคนดังมาขึ้น Cover Photo ของเพจ
หรือบน Ad โฆษณาที่ยิงออกไป
ทำให้แบรนด์นั้นดูมีสง่าราศี
ดูเป็นแบรนด์ใหญ่ที่น่าเชื่อถือขึ้นมาทันที
จึงไม่แปลกที่หลายแบรนด์
จะยกเอาตัวเลือกนี้มาทำการตลาด
เหล่าบรรดาแม่ทีมและตัวแทน
ก็เชียร์ให้เจ้าของแบรนด์
จ้างดารามาเป็นหน้าเป็นตาเช่นกัน
และนั่นก็เป็นข้อดีที่ผมไม่ขอเถียงเลยสักคำ
แต่คุณอย่าลืมไปอย่างหนึ่งนะครับว่า...
คนที่ควรออกด่านหน้าของธุรกิจ
ยังไงก็ไม่พ้นเจ้าของธุรกิจอยู่วันยังค่ำ
ซึ่งคำว่า “เจ้าของธุรกิจ” ในที่นี้
ผมไม่ได้หมายถึงเจ้าของแบรนด์
เพียงอย่างเดียว
แต่ขอมอบคำนิยามนี้
ให้เป็นของแม่ทีม รวมไปถึงตัวแทน
ที่ต้องมี “ความเป็นเจ้าของ” ด้วย
เจ้าของที่ควรแสดงตัวตน
ออกมานำเสนอ ให้สิ่งที่มีคุณค่ากับลูกค้า
สร้าง “Personal Brand” เป็นของตัวเองขึ้นมา
เพราะแม้จะมีชื่อแบรนด์
เป็นนามสกุลต่อท้ายอยู่แล้ว
แต่การมีแบรนด์ของตัวคุณเอง
เป็นชื่อต้นนำหน้า
จะให้ “ข้อดี”
ที่แม้แต่ Presenter ดังแค่ไหน
ก็ไม่สามารถให้คุณได้
ซึ่งหลังจากที่ได้รู้ถึง “ข้อดี” 3 ข้อนี้แล้ว
ผมเชื่อว่าคุณจะต้อง
อยากมี Personal Brand ขึ้นมาแน่นอน
1. Save ต้นทุนมหาศาล
แน่นอนเลยล่ะครับ ว่าค่าตัวของดารา
คนมีชื่อเสียงระดับประเทศ
ย่อมไม่ได้มีเรทถูก ๆ
ซึ่งถ้ามองในแง่ของ
คนที่ดูแลแผนงานและบริหารคน
อย่างเจ้าของแบรนด์ หรือแม่ทีม
จำนวนเงินที่ซื้อบ้านได้เป็นหลัง ๆ นี้
สามารถนำมาใช้เป็น Incentive
ที่กระตุ้นและสร้างขวัญกำลังใจ
ให้ตัวแทนได้มากมาย
แล้วอย่างนี้ทำไมเค้าจะไม่อยากอยู่
กับทีมของคุณล่ะครับ
หรือถ้าในแง่ของ
การลงทุนทำการตลาดและโฆษณา
เรื่องของค่าใช้จ่ายในการยิงโฆษณาเดี๋ยวนี้
ต้องบอกว่าหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อย ๆ
ประเภทที่จ่ายแค่น้อย ๆ
แล้วสอยยอดขายมาได้เยอะ ๆ
ยุคนั้นไม่น่าจะหวนกลับมาอีกแล้ว
ในขณะคนที่มี Personal Brand
ที่ได้เพาะเมล็ดคุณค่า ความน่าเชื่อถือ ไว้วางใจ
จะเหนื่อยใจกับเรื่องนี้น้อยลงไปมาก
เพราะลูกค้าเค้า ‘ซื้อ’
ที่ตัวตนของคุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างน้อยแค่ยิง Ad
หาแต่คนในเพจของตัวเอง
เค้าก็อยากจ่ายเงินซื้อกับคุณ
มากกว่าเจ้าอื่น ๆ อยู่แล้ว
การมี Personal Brand
จึงทำให้คุณขายได้ง่าย ขายได้เยอะ
โดยที่ไม่ต้องโน้มน้าวอะไร
แบบเริ่มจาก 0 เหมือนคนอื่น ๆ
มันจึงเซฟเงินเพื่อการทำแบบนั้นด้วยครับ
2. ลูกค้าเชื่อในความ Real มากกว่า
“เธอว่าดาราคนนี้ เค้าใช้สินค้าตัวนี้จริง ๆ เหรอ ?”
เวลาเห็นโฆษณาที่มีดาราเป็น Presenter
คุณเองก็น่าจะเคยได้ยินอะไรทำนองนี้มาบ้าง
ด้วยความที่ยุคนี้
ใคร ๆ ก็เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย ๆ
อะไรเป็นของจริง อะไรที่ Production จัดเต็ม
คนเค้าแยกออกได้หมด
แม้จะจริงอยู่
ที่ Presenter สามารถสร้าง Awareness
ปลุกกระแสให้คนสนใจ
หันมามองได้อย่างรวดเร็ว
แต่จากประสบการณ์ของผม
ลูกค้าจำนวนมากกลับตัดสินใจซื้อ
จาก “ความจริง” กันเกือบทั้งหมด
ไม่ว่าจะจากรีวิว จากกระทู้ในเว็บไซต์ดัง
ซึ่ง “ความจริง” อีกอย่าง
ที่สร้างความเชื่อมั่นให้เค้าได้
ก็คือ “เจ้าของ” นี่แหละครับ
ถ้าลองไปดูคุณจะเห็นได้ว่า
ใครก็ตามที่สร้างตัวตน
จนมาถึงจุดที่คนเค้า ‘เชื่อ’
ในความ Real นั้นจริง ๆ
จะเหมือนมีแม่เหล็กขนาดใหญ่
ดึงดูดคนเข้าไปเป็นลูกค้า
และตัวแทนจำนวนมหาศาล
ซึ่งคนเหล่านี้เค้าตัดสินใจจาก
“ตัวตน” ของคน ๆ นั้น
และโอกาสแบบนี้
คุณเองก็มีได้เหมือนกันครับ
3. ยั่งยืนกว่าในระยะยาว
Presenter เค้าจะมีสัญญา
ทำงานให้กับแบรนด์ของคุณ
ในขณะที่ตัวคุณมีพันธสัญญา
ที่ต้องอยู่กับแบรนด์ตลอดไป
(หรือจนกว่าคุณจะเลิกทำ)
และตัวคุณเองก็ไม่มี Package จำกัด
ว่าจะโปรโมทให้ได้กี่ครั้ง
คุณสามารถสร้างความถี่ ต่อเนื่อง
ได้ยาวนานเท่าที่คุณต้องการ
ซึ่งอันที่จริงคุณต้องทำ
อย่างไม่ขาด ไม่ลา ไม่มา ๆ หาย ๆ
เพราะจำนวนครั้งในการมองเห็น
จำนวนครั้งการได้สัมผัสของลูกค้า
มีผลต่อการเป็นที่รู้จัก การมีชื่อเสียง
และความเชื่อถือของคุณเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ Presenter
จำเป็นต้องมีข้อจำกัดในบางเรื่อง
แล้ววันหนึ่งเค้าก็ต้องไปอยู่ดี
(ถ้าเค้าไม่ได้เป็นเจ้าของแบรนด์เอง)
ลองคิดตามผมง่าย ๆ ก็ได้ว่า
ระหว่าง “คุณ” กับ “Presenter”
ใครจะอยู่กับธุรกิจนี้ไปนานกว่ากัน ?
....................................................
ในช่วงทิ้งท้าย ก็ต้องขอบอกเลยนะครับว่า
ผมไม่ได้บอกว่าการมี Presenter นั้นไม่ดี
แต่ผมอยากให้คุณเห็นความสำคัญ
ของการสร้างตัวตน
เพราะคุณสามารถสร้างผลลัพธ์อะไร
ให้กับตัวเอง ธุรกิจของตัวเอง
ได้มากกว่าที่คุณคิด
ซึ่งผมกล้าพูดเลยว่า
“Personal Brand”
คือ Asset ที่มีมูลค่ามหาศาล
ไม่ว่าในอนาคตคุณจะไปทำอะไรต่อ
Value นี้จะฝังอยู่ในตัวคุณไปในระยะยาว
มันจึงคุ้มค่าที่จะรดน้ำพรวนดิน
สร้างมันขึ้นมาตั้งแต่วันนี้
แล้วคุณจะได้ประโยชน์จากมัน
ทั้งทางตรงและทางอ้อมเลยล่ะครับ